สภาพธรรมกำลังทำกิจของธรรมเอง ไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง สมมติได้ยินเสียงนก โลภะ หรือโทสะเกิดก่อนที่เราจะรู้ว่าเห็นอะไร หรือได้ยินอะไร ถูก หรือไม่
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง หมายความว่าขณะใดที่อาศัยตา จักขุปสาทกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏมีจิตเห็นเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่มีเพียงจิตเห็นขณะเดียว จะมีจิตที่เกิดสืบต่อรู้สิ่งที่ปรากฏแต่ละทางรวมทั้งอกุศล หรือกุศลก็เกิดได้ด้วย
ผู้ฟัง ในขณะที่เราได้ยิน ทั้งๆ ที่เรายังไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แล้วจะมีโลภะ หรือโทสะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ หลังเห็นแล้ว จิตเห็นต้องดับใช่ หรือไม่ หลังจากที่จิตเห็นดับแล้ว สัมปฏิจฉันนะเกิด รู้ หรือไม่ว่ามี ถ้าไม่รู้ เวลาที่อกุศลจิตเกิดสืบต่อก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเร็วมาก ไม่ใช่ว่าฟังจากการศึกษาว่าหลังจากที่จิตเห็น คือ จักขุวิญญาณดับแล้ว จิตที่เกิดต่อต้องเป็นจิตที่ทำสัมปฏิจฉันนกิจคือมีกิจที่จะรับรู้สิ่งที่จิตเห็น เห็นแล้วดับไป โดยที่สิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อก็รับรู้ต่อจากจักขุวิญญาณที่เห็น เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตทำสัมปฏิจฉันนกิจดับไปแล้ว สันตีรณะเกิดสืบต่อขณะเดียว แต่ใช้คำว่า “พิจารณา” คือรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นต่อจากสัมปฏิจฉันนะ แล้วก็ดับ ไม่รู้เลยใช่ไหมว่าหลังจากสัมปฏิจฉันนะดับไปแล้ว โวฏฐัพพนะก็เกิดสืบต่อจนกระทั่งถึงชวนะที่เป็นกุศล หรืออกุศลก็ไม่รู้ทั้งนั้น แต่จะกล่าวว่าไม่มี ไม่ได้ เพราะมีผู้ที่รู้ และผู้ที่ทรงตรัสรู้ได้แสดงความเป็นจริงว่าเป็นอย่างนี้โดยปัจจัยต่างๆ ไม่ใช่โดยพระองค์ทรงกระทำ หรือโดยพระองค์ทรงแสดง แต่โดยปัจจัยของจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน
ผู้ฟัง ถ้าหากว่าจะพิจารณาในแง่ของสติปัฏฐานแล้ว คือ มีรูป มีเวทนา มีสัญญาๆ ก็น่าจะรู้ว่าเสียงอะไรถึงเกิดความไม่พอใจ หรือเกิดความโลภ หรือโทสะ น่าจะเป็นลักษณะนี้
ท่านอาจารย์ นั่นคือคิด ไม่ใช่สติสัมปชัญญะไม่ใช่สติปัฏฐาน ต้องรู้ขณะของปัญญาขั้นฟัง ขั้นคิด ขั้นไตร่ตรองพิจารณา และขั้นที่ระลึก คือ รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง โทสะ โลภะจะเกิดได้อย่างไร ในเมื่อเรายังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราเห็น เราได้ยินจริงๆ เป็นอะไร
ท่านอาจารย์ ขณะที่เกิดมาในโลกนี้ รู้ไหมว่าเกิด
ผู้ฟัง อะไรเกิด
ท่านอาจารย์ จิตเกิดแล้ว ปฏิสนธิจิตเกิดขณะแรกรู้ หรือไม่ จิตอื่นๆ อีกมากมาย ก็ไม่รู้ทั้งนั้น เมื่อสักครู่นี้กล่าวถึงจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะก็ไม่รู้ แล้วเมื่อถึงโลภะจะให้รู้ได้อย่างไร เกิดดับเร็วมากเลย เสียงนี่เกิดแล้วดับแล้ว แต่ก่อนที่เสียงที่เกิด จะดับ มีจิตที่เกิดสืบต่อตามลำดับ ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดเวลาที่เราศึกษาธรรม เราจะเห็นได้ว่าเรากล่าวโดยกว้างโดยรวม แต่ว่าปัญญาต้องละเอียดที่จะรู้ความจริงได้ กำลังอยู่ในความมืดแท้ๆ เพราะว่าสภาพธรรมมี ก็ไม่ได้ปรากฏว่าเป็นธรรม ที่กล่าวว่าเราสุข เราทุกข์ ในแต่ละวัน อยู่ในความมืดทั้งหมด เพราะไม่รู้ว่าไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นซึ่งเกิดดับ จนกว่าได้ฟังธรรมก็ยังอยู่ในความมืด ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏกับสติตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ เพราะฉะนั้น การฟังมีประโยชน์ก็คือได้ไตร่ตรองให้เห็นความละเอียดให้เข้าใจความเป็นอนัตตา เพื่อที่จะได้เกื้อกูลให้เวลาที่สติปัฏฐาน หรือว่าสติสัมปชัญญะเกิด จะได้มีความเข้าใจถูกในลักษณะนั้น ในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมนั้นๆ เพราะเหตุว่าได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้เพิ่มความเข้าใจขึ้นเป็นสัจจญาณไม่คลาดเคลื่อน ไม่ไปทำอะไรอื่น โดยที่ขณะนี้รู้ว่าสภาพธรรมกำลังทำกิจของธรรมเอง เช่น "เห็น" กำลังทำกิจของจิตเห็น จิตอื่นทำกิจนี้ไม่ได้ ขณะนี้ที่เห็นจิตเห็นเท่านั้นกำลังทำหน้าที่นี้ เมื่อถึงจิตได้ยินก็เป็นหน้าที่ของจิตอีก เมื่อถึงคิดนึก ไม่ว่าจะคิดนึกอย่างไรก็คือจิต เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ อบรมเจริญไป แล้วก็จะรู้ว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ เมื่อสติสัมปชัญญะเกิด
หมายเหตุ เสียงซ้ำ ๒ รอบ
ที่มา ...