ตามปกติ ตามความเป็นจริง


    ผู้ฟัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เราสัมผัสอยู่ตลอดเวลา สามารถเจริญสติปัฏฐานได้ตลอด ถ้ามีสติ ถ้าเกิดนึกขึ้นได้ ไม่ใช่นึกคิด หมายถึงว่า ขณะที่เรานั่งรถเมล์กลับบ้าน ก็จะมีลม เราก็ระลึกถึงว่า ความเย็นได้มาสัมผัสกับกายปสาท ถือว่าเป็นสติปัฏฐานไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจ แม้แต่สั้นๆ ที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เท่านี้ จะครอบคลุมหมด แล้วก็เป็นสติปัฏฐานได้ตลอด เช่น ขณะนี้กำลังเห็น เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ได้ฟังอย่างนี้มานานหลายครั้งซ้ำทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แม้ขณะนี้ก็เป็นสภาพธรรม อวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้ ปัญญาสามารถจะรู้ได้ แต่ปัญญาที่จะรู้ได้ต้องเพราะสติเกิดระลึกได้ในขณะนี้ว่า กำลังเห็นเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏทางตา ขณะใดที่มีความเพียร คือ สัมมาวายามะ มีสัมมาสติ คือ การระลึกได้ ซึ่งนั่นเป็นตัวหนังสือ แต่ในขณะที่เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ค่อยๆ เข้าใจ หรือว่าเริ่มจะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ นี่คือสติปัฏฐาน ไม่ต้องเรียกชื่อ พระผู้มีพระภาคทรงใช้ชื่อสติปัฏฐาน เพื่อให้รู้ว่า ขณะที่กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะวันหนึ่งๆ เห็น แต่ไม่เคยเข้าใจเลย ไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง หรือเสียงที่กำลังได้ยิน ชั่วขณะหนึ่ง ขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ จะไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้นทุกขณะที่เกิดดับ ถ้าเป็นผู้ที่สะสมบารมีมาแล้ว เป็นพระอรหันต์ทันทีที่ได้ฟัง เพราะเหตุว่าได้ยินดับแล้ว เห็นขณะนี้ก็ดับแล้ว แข็ง ขณะที่รู้สึกว่า เหมือนกับมีสิ่งที่แข็งปรากฏอยู่ตลอดให้เรากระทบสัมผัส ความจริงสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นต้องดับไป

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงแข็ง ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป และไม่ใช่แต่เฉพาะแข็ง ไม่ว่าจะเป็นทางตาดับแล้ว ทางหูดับแล้ว ถ้าไม่มีเยื่อใยจริงๆ ปัญญาสามารถที่จะคมกล้าตัดความเป็นตัวตนได้ ซึ่งขณะนี้ทุกคนก็รู้ ได้ยินก็ดับ เสียงก็ดับ แต่ปัญญาไม่ถึงขั้นที่จะละความเป็นตัวตน เมื่อใดที่เป็นจริงอย่างนี้แล้วก็ละความเป็นตัวตนได้ เมื่อนั้นก็แสดงว่า ปัญญาที่เกิดจากการระลึก กำลังเริ่มจะความเข้าใจ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง แล้วแต่สติจะเกิดขณะใด

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ตรงกับพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ขึ้นอยู่กับว่าสติจะระลึก หรือว่ากำลังจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นหรือยัง

    ผู้ฟัง ให้ระลึกรู้ว่า มีสภาพรู้กับไม่รู้เท่านั้น คือ นามรูปเท่านั้นใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ต้องมีลักษณะที่ปรากฏ อย่างทางตาที่กำลังเห็น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าขณะนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ต้องชินทีละเล็กทีละน้อย กับความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าตามความเป็นจริง คือ เป็นเพียงสิ่งซึ่งปรากฏ อย่างจักขุ ท่านบอกว่า แสดงหรือบอก เพราะเหตุว่าจักขุวิญญาณสามารถที่จะเห็นสิ่งซึ่งแสดงหรือบอกอาการสัณฐานต่างๆ ค่อยๆ ฟังไปค่อยๆ พิจารณาไป แล้วรู้ว่า ทางตาขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดมากี่ปียังไม่เคยที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเพียงปรากฏเมื่อมีจักขุปสาท จึงเห็น

    เพราะฉะนั้นก็ฟังแล้ว แล้วก็ฟังอีก จนกว่าสติจะเกิดขึ้น แล้วก็ขณะที่กำลังค่อยๆ เข้าใจนั้นคือสติปัฏฐาน พร้อมด้วยสัมมาสติ สัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ สัมมาสังกัปปะ องค์อื่นๆ

    ผู้ฟัง จากในสภาวธรรมที่เป็นธรรมชาติ ตามเหตุตามปัจจัยที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ตามปกติ ตามความเป็นจริงขณะนี้ พอค่อยๆ เข้าใจนั้นคือสติเกิดแล้ว


    หมายเลข 8841
    22 ส.ค. 2567