วิบากจิตทุกประเภทเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย


    ผู้ฟัง ดิฉันอยากจะขอยืนยันว่าตอนจุติ พอเราเริ่มต้นตายปุ๊บ มันจะไม่มีภวังค์ มันก็ไปปฏิสนธิเลยใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ไปด้วยค่ะ หมายความว่าดับคือดับ แล้วกรรมหนึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด

    ผู้ฟัง หมายความว่า จากจุติไม่มีภวังค์คั่น ก็เป็นปฏิสนธิ จากปฏิสนธิ ภวังค์แรกเรียกว่าปฐมภวังค์ และภวังค์นี้มันก็จะเกิดดับเหมือนกระแสน้ำ ที่เราเรียกว่ากระแสภวังค์ จนกว่าเมื่อไรรูปกระทบปสาท ขณะที่รูปกระทบนั้น จะเกิดภวังค์ที่เรียกว่า อดีตภวังค์ ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว วิถีจิตวาระแรกของทุกภพทุกชาติเป็นทางมโนทวาร ไม่ใช่ทางปัญจทวาร ให้ทราบไว้อย่างนี้แน่นอนที่สุดว่า ภวังคจิต คือ ขณะจิตที่ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ผู้ฟัง เมื่อออกมาได้เห็น

    ท่านอาจารย์ จะอยู่ที่ไหนก็ตาม ในท้อง นอกท้อง บนสวรรค์ ในนรก ที่ไหนก็ตาม ภวังคจิตในอรูปพรหมภูมิก็ตาม ขณะใดที่ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นเป็นภวังค์ เพราะเหตุว่าจิตนั้นทำภวังคกิจ จึงชื่อว่าภวังคจิต ภวังคกิจก็คือดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น ไม่ให้ตาย ตายไม่ได้ จะต้องรับผลของกรรม จะต้องมีจิตซึ่งเป็นวิบากจิตเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม ที่ไม่ใช่ปฏิสนธิ ที่ไม่ใช่ภวังค์

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ที่เราจะพูดอดีตภวังค์ก็ต่อเมื่อ

    ท่านอาจารย์ เมื่อมีการที่อารมณ์กระทบ

    ผู้ฟัง มีอารมณ์กระทบ ๕ ทวาร

    ท่านอาจารย์ ๕ ทวาร เพราะเหตุว่าทางมโนทวาร จะไม่ใช้คำว่าอดีตภวังค์ ถ้าตื่นทำกุศลได้ก็ควรจะตื่น แต่ถ้าตื่นแล้วเป็นอกุศล ก็ไม่น่าจะตื่นเลย หลับไปนานๆ เสียก็ยังจะดีเสียกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย ท่านไม่ทราบว่า ที่ท่านหลับ เป็นผลของกรรม เพราะเหตุว่าภวังค์เป็นวิบากจิต วิบากจิตทุกประเภทต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีกรรมแล้ว วิบากจิตเกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะหลับสักเท่าไรก็หลับไม่ลง ก็เพราะเหตุว่ากรรมไม่เป็นปัจจัยให้วิบากจิตที่เป็นภวังค์เกิด แต่เป็นปัจจัยให้จิตเห็นบ้าง หรือว่าจิตกระทบสิ่งที่อ่อนที่แข็ง ที่นอน ที่นั่ง หรือทางเสียง ทางอะไรก็ตามแต่ หรือมิฉะนั้นก็มีเหตุปัจจัยอื่นซึ่งทำให้จิตคิด แม้ว่าจะไม่ใช่วิบากจิตทางกาย หรือทางตา หรือทางหู ทางจมูกก็ตาม แต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่ทำให้หลับไม่ลง เพราะเหตุว่าจิตในขณะนั้นมีปัจจัยที่จะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลที่จะคิดไปต่างๆ

    เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ชีวิตเป็นอนัตตาทุกขณะ ถ้าศึกษาโดยละเอียดพิจารณาโดยละเอียด จะรู้ว่า แม้แต่ตื่นก็เป็นวิบากที่ต้องตื่น เพราะว่าบางคนที่เมื่อกี้นี้บอกว่าชอบภวังค์ คงจะชอบหลับนานๆ แต่ว่าถึงจะอย่างไรก็ตามเมื่อกรรมจะให้ผลทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ต้องตื่น ไม่อยากตื่นก็ต้องตื่น อาจจะมีเสียงที่ดังมาก หรือว่ามีกลิ่น หรือว่าจะมีอะไรๆ ก็แล้วแต่ หรือตื่นขึ้นมาเองก็ได้ แสดงให้เห็นว่า เมื่อตื่นแล้วก็คือเห็น หรือได้ยิน หรือได้กลิ่น หรือลิ้มรส หรือรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสซึ่งก็คือวิบากทั้งหมดนั้นเอง และเมื่อกรรมวัฏฏ์ มีเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากวัฏฏ์ กิเลสซึ่งยังมีอยู่ เมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว พวกนี้ก็เกิดกิเลสต่อไป

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าท่านที่บอกว่า ไม่ชอบภวังค์ ก็ลองคิดดูว่า จริงๆ แล้วชอบไหม หรือว่าชอบมาก หรือชอบน้อย แล้วมีเหตุผลอย่างไรในการจะชอบหรือไม่ชอบภวังค์


    หมายเลข 8853
    22 ส.ค. 2567