สติปัฏฐานรู้ภวังคจิตได้มั้ย
อ.นิภัทร จากการศึกษาเรารู้ว่าขณะเห็น ก่อนที่จะได้ยินก็ต้องมีภวังคจิตคั่น พูดง่ายๆ ว่า ภวังคจิตต้องเกิดคั่นสลับตลอดเวลา ในทางปฏิบัติ สติปัฏฐานสามารถจะระลึกรู้ได้ รู้ภวังคจิตได้ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ขณะนี้โดยการศึกษาทราบว่า ภวังคจิตคั่นจริง ถูกไหมคะ เพราะเหตุว่าถ้าจักขุทวารวิถีจิตไม่ดับ จิตได้ยินไม่มีทางจะเกิดได้เลย เพราะฉะนั้นต้องดับ แล้วเมื่อดับแล้วต้องมีภวังค์เกิดสืบต่อ เพราะว่าก่อนที่จะได้ยินก็จะต้องมีภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ ปัญจทวาราวัชชนจิต แล้วก็โสตวิญญาณจิตจึงเกิดได้
นี่ขั้นฟัง แต่ว่าไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นการที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ไม่มีการกระโดดข้ามขั้นว่าไปรู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยการประจักษ์แจ้ง ซึ่งในขณะที่ประจักษ์แจ้ง จะไม่มีความสงสัยในเรื่องลักษณะที่ต่างกันของสภาพธรรมที่ปรากฏ ซึ่งเมื่อปรากฏลักษณะที่ต่างกัน ช่องว่างต้องมี ซึ่งเป็นภวังคจิตในขณะนั้น แต่ว่าเมื่อสภาพธรรมยังไม่ได้ปรากฏ ก็มีการค่อยๆ ที่จะระลึกรู้ว่า ที่กำลังเห็นขณะนี้ก็เป็นสภาพรู้ชนิดหนึ่ง ที่กำลังได้ยินก็เป็นสภาพรู้อีกชนิดหนึ่ง ค่อยๆ รู้ไปจนกว่าจะถึงกาลซึ่งสภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริง เพราะว่าขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับปรากฏสืบต่อเร็วเหมือนเดิม ยังไม่มีการแทงตลอดที่จะให้ปรากฏเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งสืบต่อโดยการที่มีภวังคจิตคั่น
อ.นิภัทร แต่ถ้าการรู้สภาพธรรมจริงๆ ที่ปรากฏนี้ ก็จะต้องรู้ รู้ธรรมที่ปรากฏจริงๆ อย่างที่ท่านแสดงไว้นี้หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ไม่ต่างกับเดี๋ยวนี้ แต่ว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริง แทงตลอดในสภาพธรรมซึ่งเร็วอย่างนี้ โดยที่ว่าเรารู้ว่า ขณะนี้มีภวังค์คั่นแน่นอน ระหว่างคำพูดแต่ละคำ เสียงที่ปรากฏแต่ละเสียง มีช่องว่างระหว่างเห็นกับได้ยิน
อ.นิภัทร ผมก็ยังอยากจะเรียนถามชัดๆ ลงไปว่า ภวังคจิต ในแง่ปฏิบัติจริงๆ ถ้าสมมติว่าสติปัญญาเกิดเพียงพอแล้ว ก็สามารถที่จะประจักษ์ได้ ใช่ไหมครับ อาจารย์
ท่านอาจารย์ วิปัสสนาญาณไม่ใช่ขณะที่กำลังอบรม นี่เป็นความต่างกัน เมื่อสภาพธรรมปรากฏ ก็ปรากฏ ไม่มีอะไรปิดกั้นเลย เพราะขณะนั้นเป็นปัญญาที่กำลังประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม
อ.นิภัทร แต่ไม่ปรากฏ ก็ไม่จำเป็นต้องไป
ท่านอาจารย์ ก็เหมือนอย่างนี้ ขณะที่ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ก็เหมือนอย่างนี้
ผู้ฟัง อย่างนั้นจะเป็นการไม่ละเอียดไปหรือเปล่า เพราะว่าพูดถึงตามความจริง เราจะต้องรู้ด้วยว่า ในขณะที่ภวังคจิตเกิด แล้วก็ในขณะที่ทางปัญจวิญญาณเกิด ก็ต้องรู้ตามลำดับอย่างนั้น แต่ทีนี้ว่า ถ้าหากว่าจะเว้นว่า ภวังคจิตขณะในลักษณะนี้ไม่รู้จะกลายเป็นว่า เราไม่ละเอียดไหมครับ
ท่านอาจารย์ ไม่มีการเจาะจง หรือว่าไม่มีการต้องการ เช่นในขณะนี้ทางตา มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ แล้วสติก็ระลึกเพื่อที่จะได้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา และนามธรรมที่กำลังเห็น เรายังไม่ต้องพะวงถึงภวังคจิต ใช่ไหมคะ การที่ได้ฟังมา ก็คือเพื่อที่จะให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา แต่ปัญญาจะเกิด โดยรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละลักษณะ ไม่ต้องไปคำนึงถึง เหมือนอย่างอากาศธาตุที่แทรกคั่นอยู่ระหว่างกลาปของรูป แม้แต่ธาตุดิน มีใช่ไหมคะ ในเวลาที่สติระลึกรู้ลักษณะของแข็ง ต้องไปพะวงถึงอากาศธาตุซึ่งแทรกคั่นอยู่ไหม ในเมื่อเรากำลังเริ่มที่จะรู้ลักษณะของสภาพรู้กับลักษณะที่แข็ง ซึ่งสภาพรู้นั้นไม่ใช่แข็ง แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่กำลังรู้แข็งชั่วขณะที่แข็งปรากฏ
ผู้ฟัง ก็รู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นหรือครับ
ท่านอาจารย์ เท่านั้น แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือ วันหนึ่งๆ ที่เราคิดว่า กำลังเห็นก็แสนที่จะสำคัญ แต่ให้ทราบว่า เดี๋ยวก็หมดแล้ว พอหลับแล้วก็หมด
เพราะฉะนั้นวันนี้ทั้งวันมีอะไรสำคัญจริงๆ บ้าง ขณะที่หลับ แล้วชีวิตก็เป็นอย่างนี้ คือ ตื่นแล้วก็หลับ ตื่นแล้วก็หลับ เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าถ้าเราชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้รู้ว่าเพียงชั่วขณะที่ยังไม่หลับ จะช่วยทำให้เห็นความไม่สำคัญของแต่ละขณะที่สนุกสนาน เอร็ดอร่อย หรืออะไรอย่างนี้ ให้ทราบว่า เพียงเดี๋ยวเดียว คือ เพียงชั่วขณะที่ยังไม่หลับเท่านั้นเอง