อยากให้เป็นกุศลมากๆ
อ.อรรณพ อยากให้เป็นกุศลมากๆ ดีไหม ถ้าฟังธรรมแล้วอยากให้มีกุศลมากๆ ถูกไหม ฟังธรรมเพื่ออะไร แล้วจะเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า เป็นธรรม ได้อย่างไร
จากการสนทนาธรรมที่พุทธคยา ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๔
ท่านอาจารย์ ก็ไม่เริ่มว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาจริงๆ แม้แต่ความคิดอย่างนั้นเกิดแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น จะถามว่า ควรเป็นอย่างไร ควรคิดอย่างไร เหล่านี้ ก็คือควรเข้าใจว่า ขณะนั้นเป็นธรรมเท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะเหตุว่ามีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นทั้งนั้น สงสัย เกิดแล้ว ก็เป็นธรรม คือไม่ลืมคำนี้ว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่เราก็มักจะลืมแล้วก็คิดว่า ที่ได้มาสังเวชนียสถานจะเป็นกุศลยิ่งขึ้นได้อย่างไร โดยมากคิดอย่างนั้น คิดว่า จะเป็นกุศลมากขึ้นได้อย่างไร แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือคิดเป็นคิด แล้วก็หมดไป และคิดขณะนั้นเป็นเราที่ต้องการเป็นกุศลยิ่งขึ้น แต่ธรรมดาแล้วการฟังพระธรรมก็เพื่อให้เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แต่จะเห็นได้ว่า ยากอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจึงต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นความคิดอะไรก็ตาม เกิดขึ้นเมื่อไรก็ตาม เห็นก็ตาม ทุกอย่างปัญญาสามารถรู้ความจริงว่า เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง
คิดดูซิคะว่า ต้องอาศัยกาลเวลานานเท่าไรกว่าจะรู้ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่ปรากฏ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจริงๆ ว่า ลักษณะนั้นมีจริง แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราเคยยึดถือว่า เป็นสนาม หรือเป็นต้นไม้ หรือเป็นรั้ว หรือเป็นธูปเทียน แต่ความจริงก็คือเป็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ถ้าจะรู้ความจริงที่จะละความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เพราะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ถ้าหลับตาแล้วก็ไม่มี จะพูดอย่างนี้อีกร้อยครั้ง กี่พันครั้ง แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็กำลังปรากฏ และเห็นก็เกิดขึ้นเห็น แต่จะเห็นได้ว่า กว่าจะเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และเวลาเข้าใจ จะไม่ทราบเลยว่า กำลังคลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมนั้นเหมือนเคย ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า แท้ที่จริงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ละหนึ่งทีเดียว
ก็ซ้ำไปซ้ำมา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ว่าจะเป็นคิด ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ ใดๆ ทั้งสิ้น ต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็ชั่วคราวที่สั้นมาก เร็วมาก ยิ่งกว่าฟ้าแลบ เพราะว่าที่ปรากฏว่าเป็นแสงฟ้า นั่นคือหลายขณะแล้ว เพราะเหตุว่าถ้าเพียงขณะเดียว สั้นๆ นิดเดียวที่ปรากฏ จะไม่เป็นอะไรเลย แม้แต่แสงฟ้า ก็ต้องเป็นสิ่งที่ตาเห็น จำ แล้วก็รู้ว่า เป็นแสงฟ้าแลบ
ทุกอย่างสั้นมาก เร็วมาก และไม่กลับมาอีกเลย ต้องเข้าใจมั่นคงจริงๆ จึงจะเป็นสัจญาณ คือ ปัญญาที่มั่นคงในความจริง
ก็ยังคงนั่งฟังอย่างนี้ ปีหน้า ถ้าใครมา หรือปีโน้นๆ ถ้าใครมา ก็เรื่องเก่า เรื่องเดิม เหมือนเมื่อแสนล้านปีมาแล้ว สภาพธรรมก็เป็นอย่างนี้ ถึงจะคิดพยายามให้มีกุศลเกิดขึ้น ก็เพียงชั่วขณะที่กำลังคิดแล้วก็หมดไป
เมื่อกี้นี้กำลังตั้งใจจะฟังพระธรรม ก็เป็นอนัตตา เพราะปรากฏว่ามีเสียงดังบ้าง เสียงอะไรบ้าง ที่ทำให้ขณะนั้นไม่ใช่เสียงของธรรม