จิตที่มีอารมณ์เดียวกันในชาติหนึ่ง


    อ.นิภัทร คือทางปัญจทวารก็มีภวังคจลนะ ทางมโนทวารก็มีภวังคจลนะ แต่ภวังคจลนะทางปัญจทวารนี้มี เกิดขึ้นไหว เพราะมีรูปารมณ์มากระทบปสาท แต่ภวังคจลนะในมโนทวาราวัชชนะไหว เพราะจิตคิดมันจะคิด อย่างนั้นใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ เวลาที่จิตคิดจะเกิด จะคิดทันทีโดยเป็นภวังค์ และก็เป็นมโนทวาราวัชชนจิตไม่ได้ วิถีจิตที่จะเกิดคิดขึ้นทำให้ขณะนั้นภวังคจลนะไหว แล้วก็เมื่อไหวแล้วก็เป็นภวังคุปเฉทะ คือ ภวังค์ดวงสุดท้าย แล้วต่อจากนั้นถึงจะเป็นมโนทวาราวัชชนจิต เป็นจิตนิยาม เป็นธรรมเนียมของการเกิดดับสืบต่อกัน

    ผู้ฟัง ภวังคจิตจะมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิตในชาติเดียวกัน ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

    ผู้ฟัง แล้วทีนี้ปฏิสนธิจิตจะมีอารมณ์เดียวกับจิตเกิดก่อนจุติจิตในชาติที่แล้ว ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

    ผู้ฟัง ทีนี้อยากเรียนถามว่า ชวนจิตจะเป็นจิตดวงสุดท้ายที่ดับแล้ว ก็จะเกิดจุติจิต ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ได้ค่ะ คือว่าเรื่องของความตายจะหลังจากชวนจิตดับ จุติจิตเกิดก็ได้ หรือหลังจากชวนจิตดับ ตทาลัมพนจิตดับ ภวังคจิตจะเกิด แล้วจุติจิตก็เกิดได้ คือจุติจิต จะเกิดได้หลังชวนะก็ได้ หลังตทาลัมพนะก็ได้ หลังภวังค์ก็ได้

    ผู้ฟัง ชวนจิต และตทาลัมพนจิต จะมีอารมณ์เดียวกันใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ในชาติไหนคะ

    ผู้ฟัง ในชาติเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ อันนี้ต้องทราบเรื่องกิจว่า จิตที่มีอารมณ์เดียวกันในชาติหนึ่ง ปฏิสนธิจิต ภวังค์ จุติ ๓ กิจ หรือ ๓ จิตนี้มีอารมณ์เดียวกัน ต้องทราบว่า อารมณ์ของปฏิสนธิจิต สืบเนื่องมาจากชวนะสุดท้ายก่อนจุติของชาติก่อน ใกล้จะตายมีอารมณ์อะไร เวลาที่จุติจิตดับแล้ว ปฏิสนธิจิตก็มีอารมณ์สืบเนื่องมาจากจิตใกล้จุติของชาติก่อน เหมือนขณะนี้ คะ ทุกอารมณ์สืบเนื่อง ใช่ไหมคะ จากทางตาก็ไปทางใจ แต่ว่าเวลาที่จุติจิตจะเกิดไม่จำเป็นต้องมีมโนทวารวิถีจิต เพราะเหตุว่าจุติจิตดับหลังจากที่จักขุทวารวิถีจิตดับแล้วก็ได้ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นแทนที่จะเป็นมโนทวารวิถีจิตรับอารมณ์ทางตาต่อ ก็เป็นจุติจิต

    เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตนั่นเองที่รับอารมณ์ต่อจากทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจก็ได้ ขอให้สืบเนื่องมาจากชวนะสุดท้ายก่อนจุติ

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่ากรรมหนึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดมีอารมณ์อันใด กรรมนั้นทำให้ภวังคจิตซึ่งเป็นจิตประเภทเดียวกันทุกอย่าง มีอารมณ์เดียวกันด้วย เกิดสืบต่อ เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรมหนึ่งที่ทำให้ปฏิสนธิเกิด เมื่อเกิดมาเป็นบุคคลนั้นแล้ว ยังตายไม่ได้ นี่คือเหตุที่ว่า ต้องรับผลของกรรมของการเกิดเป็นบุคคลนั้น จะเกิดในนรกหรือจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือจะเกิดในมนุษย์ หรือจะเกิดบนสวรรค์ก็ตาม ต้องรับผลของกรรม ซึ่งปฏิสนธิจิตประมวลกรรมทั้งหมดที่จะเกิดในชาตินั้นไว้ เหมือนกับที่นา เราก็มีที่นาจำกัด มากน้อย บางคนมีกี่ไรก็ตามแต่ แล้วแต่ว่าการให้ผลของกรรมจะมากน้อยอย่างไร ทางไหน แต่ให้ทราบว่าปฏิสนธิจิตประมวลกรรมที่จะทำให้แต่ละบุคคลได้รับผลในแต่ละชาติ

    เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมนั้นก็ทำให้ภวังค์เกิดสืบต่อดำรงความเป็นบุคคลนั้น ตายไม่ได้ ต้องรับผลของกรรมของชาติที่เกิดมานั้นก่อน เพราะฉะนั้นการรับผลของกรรมที่เกิดในชาตินั้นก็คือว่า กรรมทำให้มีตา จักขุปสาทรูป เกิด มีโสตปสาทรูป มีฆานปสาทรูป มีชิวหาปสาทรูป มีกายปสาทรูป แต่บางคนก็แล้วแต่ กรรมอาจจะไม่ทำให้เกิดจักขุปสาทรูป ก็ตาบอด บางคนก็หูหนวก คือไม่มีโสตปสาทรูป

    นี่ก็เป็นเรื่องของกรรมอีก เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ที่เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ใช่ใครทำให้เลย เราก็ทำเองไม่ได้ แต่ว่ากรรมทำทั้งหมด คือ เป็นกัมมชรูป เป็นรูปซึ่งมีกรรมเป็นสมุฏฐานก่อตั้งให้เกิดขึ้น ในขณะนี้ที่ทุกคนกำลังมีตา เราทำไม่ได้เลย แล้วจักขุปสาทก็กำลังดับไป แต่ว่ากรรมก็ทำให้จักขุปสาทรูปเกิดอีก แล้วขณะที่ได้ยินครั้งหนึ่ง โสตปสาทรูปก็ดับ มีอายุสั้นมาก คือ ๑๗ ขณะจิต ดับแล้ว แต่กรรมก็ทำให้โสตปสาทรูปเกิดอีก

    นี่แสดงให้เห็นถึงผลของกรรมซึ่งมีทั้งรูป คือ จักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท แล้วก็มีนาม คือ จิตเจตสิกซึ่งเป็นวิบาก เพราะเหตุว่าไม่ใช่มีแต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีจิตที่รู้อารมณ์ทางตา คือ อาศัยตาเห็น เพราะฉะนั้นจิตที่กำลังเห็นทางตาเป็นวิบากจิต เราเลือกเห็นไม่ได้ เราอยากจะเห็นสิ่งที่ดีๆ แต่ขึ้นอยู่กับกรรม ว่ากรรมจะให้เห็นอะไร เราอยากได้ยินเสียงเพราะๆ แต่เราก็เลือกไม่ได้ เพราะว่าเป็นวิบากจิต กรรมทำให้วิบากจิต และเจตสิกเกิดขึ้นได้ยินเสียง

    นี่คือการรับผลของกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยตลอดชีวิต คือ จะต้องมีการรับผลของกรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ความคิดนึกต่อจากเห็น ได้ยิน อย่างที่เรากำลังพูดถึงเรื่องมโนทวารวิถี แต่ความจริงยังไม่ใช่มโนทวารวิถี ก็มีการที่จะเป็นกุศลชวนะ อกุศลชวนะ เพราะเหตุว่าทางจักขุทวารวิถีก็มี แต่ว่ายังไม่ขอพูดถึง แต่ให้ทราบว่า รวดเร็วมากเหลือเกิน ให้ทราบเพียงว่าเมื่อเห็นแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเลย เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่คิดนึก ความคิดนึกสำคัญ เพราะฉะนั้นก็เป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต เมื่อรับผลของกรรมคือเห็น ชั่วขณะนั้น หลังจากนั้นไม่ใช่วิบากแล้ว เริ่มเป็นกุศล อกุศลต่อไป


    หมายเลข 8875
    22 ส.ค. 2567