สำคัญที่คิด


    ผู้ฟัง กราบเรียนถามเรื่องอาเสวนปัจจัยของ อย่างชวนจิต ดวงที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ถึงที่ ๗ เป็นอาเสวนปัจจัย จะดวงที่ ๗ ไม่เป็นอาเสวนปัจจัย

    ทีนี้พูดถึงภวังคจิต ซึ่งเกิดติดต่อกัน เป็นเวลาระยะยาวนาน เช่นเวลาหลับอย่างนี้ ก็มีอารมณ์อย่างเดียวกัน แล้วก็เกิดดับสืบต่อกัน อย่างนี้เป็นอาเสวนปัจจัยไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นค่ะ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ชวนะ เป็นอาเสวนปัจจัยไมได้

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์เลยว่า ที่เกิดของทวิปัญจวิญญาณ และเหตุที่เกิดนั้นเป็นอย่างไร ขอเรียนให้ท่านช่วยอธิบายให้เราฟัง เพื่อที่เราจะได้เข้าใจถึงว่ามันไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงรูปกับนาม ขอเรียนเชิญท่านอาจารย์ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นก็คงจะขอทบทวนนิดหนึ่ง เพื่อให้ได้ทราบว่า ทำไมเราถึงต้องพูดเรื่องลักษณะของจิต แล้วก็หัวข้อทุกๆ อาทิตย์ที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องของลักษณะของจิต เพราะว่าขณะนี้มีจิต จุดสำคัญก็คือว่า ขณะนี้มีจิต แต่ยากแสนยากที่จะรู้ว่า จิตในขณะนี้เป็นอย่างไร แล้วก็เราจะรู้จักจิตจริงๆ ได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นก็ได้เริ่มมาตั้งแต่ต้นที่จะพูดถึงเรื่องหน้าที่กิจการงานต่างๆ แล้วโดยเฉพาะก็คือว่า สามารถที่จะเข้าใจจิตในขณะนี้ได้ แม้แต่เรื่องทวารที่คุณสุรีย์พูดเมื่อกี้ ก็ไม่พ้นจากจิตทั้งนั้นเลย ที่จะใช้คำว่ามโนทวารวิถี หรือปัญจทวารวิถี ก็เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ การที่จะรู้อารมณ์ได้นั้นต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวาร มิฉะนั้นแล้วถ้าขณะที่กำลังเป็นภวังคจิต จะไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏเลยทั้งสิ้น แม้ว่ามีจิต

    นี่คือความลึกลับของจิต จิตมี แต่ก็ไม่รู้ว่ามีจิตเมื่อไร ขณะที่กำลังนอนหลับสนิท หรือว่าขณะที่กำลังเป็นภวังค์

    เพราะฉะนั้นจิตมี แล้วก็จะรู้จักจิตเดี๋ยวนี้ได้ ก็เพราะเหตุว่ามีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย แล้วก็มีใจด้วย ซึ่งเป็นทางที่จิตจะรู้อารมณ์ เวลาที่กำลังนอนหลับสนิท คือ ไม่คิด ไม่ฝัน ขณะนั้นมีจิต แต่ก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นในทวาร ๖ ทวาร คือ ชื่อก็คงจะง่าย คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาไม่สงสัย หูไม่สงสัย จมูกไม่สงสัย ลิ้น กายไม่สงสัย แต่ใจที่เป็นทวาร หมายความว่า ขณะที่กำลังหลับสนิท ไม่คิด แล้วก็เกิดคิด โดยที่ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น แต่จิตสามารถที่จะนึกคิดได้ ขณะใดก็ตามซึ่งมีอาการปรากฏของความคิดเรื่องราวต่างๆ ขณะนั้นแสดงว่า แม้จิตไม่อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ใจนั่นเอง คือหลังจากภวังคจิตดับ เวลาที่จะคิดนึก ภวังคจลนะเป็นขณะที่เกิดสืบต่อจากภวังค์ ไหว ที่จะคิดนึกเรื่องที่จะคิดต่อไป แล้วหลังจากนั้นภวังคุปัจเฉทะ ซึ่งเป็นภวังคจิตต่อไปก็เกิดแล้วดับ

    ด้วยเหตุนี้ภวังคุปัจเฉทะจึงเป็นมโนทวาร อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าทวารอื่นไม่ยาก แต่สำหรับทางใจที่เราคิดนึก เราต้องทราบว่า ที่ใช้คำว่ามโนทวาร ก็เพราะเหตุว่าไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เพราะเหตุว่าจิตคิดนึก เพราะฉะนั้นอาศัยจิตซึ่งเกิดก่อน คือ ภวังคุปัจเฉทะเป็นทวารให้จิตเกิดนึกคิดได้

    ข้อสำคัญตอนนี้ ขอให้รู้จักมโนทวารจริงๆ เพราะเหตุว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นเรื่องเล็ก เล็กมากทีเดียว เพราะเหตุว่าเสียงปรากฏนิดเดียว แต่ว่าใจคิดนึกยาวไกลนานมาก

    เพราะฉะนั้นให้เปรียบเทียบว่า ทางตาก็ปรากฏเพียงสั้นๆ เล็กน้อยมาก กลิ่นก็ปรากฏสั้นๆ เล็กน้อยมาก รสก็ปรากฏสั้นๆ เล็กน้อยมาก แต่ใจคิดนึกสืบต่อไว้

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เพราะทางใจเกิดขึ้นปิดบังการเกิดดับของทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เลยทำให้คิดว่า โลกนี้ไม่ดับเลย แล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวมากมายด้วย แต่แท้ที่จริงแล้วสำคัญอยู่ที่ทางมโนทวารที่คิด


    หมายเลข 8879
    22 ส.ค. 2567