ปัจจัยของจิตเห็น
นี่เป็นสิ่งสำคัญมากที่ทุกคนจะได้ทราบว่า เราพ้นกรรมที่ได้ทำแล้วไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเห็น ต้องได้ยิน จนกว่าจะตายไป และในขณะเดียวกันเมื่อยังมีกิเลสอยู่ เวลาที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ก็เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ซึ่งสำหรับพระอรหันต์ท่านไม่เป็นเลย นี่คือความต่างกันที่จะต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะถึงระดับที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว เป็นกุศลเพิ่มขึ้น ยังต้องถึงกับเห็นแล้ว ได้ยินแล้วเป็นกิริยาจิต ไม่เป็นกุศล อกุศลอีกต่อไป เพื่อที่จะได้เข้าใจเรื่องของการเกิดของจิตเห็น จิตได้ยินเหล่านี้
เหตุที่จะให้เกิดการเห็นการได้ยิน ทั้งๆ ที่เป็นวิบาก ต้องอาศัยเหตุปัจจัยด้วย ไม่ใช่ว่าเมื่อเป็นวิบากแล้ว ก็จะเกิดขึ้นได้ตามใจชอบ จะเห็นความสำคัญของแต่ละส่วน ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเห็น เช่น ต้องมีจักขุปสาท นี่แน่นอน สำหรับคนที่ไม่มีจักขุปสาทซึ่งเป็นรูปที่อยู่กลางตา บางคนอาจจะมีส่วนของตา แต่ที่ตาบอด เพราะขาดจักขุปสาท
เพราะฉะนั้นจักขุปสาทในขณะนี้ให้ทราบว่า กำลังเกิดดับเพราะกรรมเป็นปัจจัย ทั้งๆ ที่ขณะนี้จักขุปสาทเกิดแล้วดับ ว่ามีกรรมปัจจัยที่ทำให้จักขุปสาทรูปเกิดอีกแล้วดับอีก ในขณะที่กำลังเห็นนี้ก็เกิดอีกแล้วดับอีก แม้แต่ขณะที่กำลังนอนหลับสนิทก็มีกรรมที่ทำให้จักขุปสาทรูปเกิดดับ แม้ไม่เห็น แต่กรรมก็ไม่เคยหยุดที่จะทำให้จักขุปสาทรูปเกิด ตราบใดซึ่งกรรมนั้นยังเป็นปัจจัยให้จักขุปสาทรูปเกิด
นี่เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ไม่พอ ใช่ไหมคะ หมายความว่ากรรมซึ่งเป็นปัจจัยทำให้จักขุปสาทรูปเกิดเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เห็น เพราะว่ากำลังนอนหลับก็มีจักขุปสาทรูปเกิด แต่ว่าไม่มีการเห็นอะไร เพราะฉะนั้นปัจจัยที่ ๒ ก็คือสีที่กระทบกับจักขุปสาท จะไม่กระทบกับปสาทอื่นเลย ถ้ากระทบสัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะบอกไม่ได้ว่าสีอะไร ใช่ไหมคะ แต่ต้องอาศัยตา เห็น จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า สีที่กระทบตาปรากฏเป็นสีสันวัณณะรูปร่างสัณฐานอะไร
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องมี ๒ ปัจจัย แต่นอกจากนั้นก็ยังต้องมี ถ้าในที่สว่าง จะเห็นได้ว่า การเห็นไม่เหมือนกับที่มืด คนที่มีจักขุปสาทต่างกับคนตาบอด คนตาบอดนั้นมืดสนิท แต่คนที่มีจักขุปสาท แม้จะอยู่ในห้องมืด เห็นว่ามืดมาก มืดจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ความมืดอย่างความมืดของคนตาบอดซึ่งไม่มีจักขุปสาท เพราะฉะนั้นตาสามารถที่จะกระทบกับแม้ความมืด เปรียบเทียบให้เห็นว่ามืดก็เป็นรูปารมณ์ เพราะว่ากระทบกับจักขุปสาทได้ สว่างก็เป็นรูปารมณ์ เพราะเหตุว่ากระทบกับจักขุปสาทได้
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าคนที่มีจักขุปสาทสามารถที่จะบอกได้ถึงอาการของสีที่กระทบตา ซึ่งคนตาบอดไม่มีทางที่จะเปรียบเทียบเลย
เพราะฉะนั้นโลกของคนตาบอดเป็นโลกที่มืดสนิท ต้องใช้คำว่า “มืดสนิท” เหมือนกับทางมโนทวารซึ่งมืดสนิทด้วย เพราะเหตุว่าทางมโนทวารไม่มีสี ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสใดๆ ถ้าในขณะนั้นเป็นแต่เพียงมโนทวารที่คิดนึก แต่ถ้าเป็นมโนทวารที่รับรูปสี เสียง กลิ่น รส สัมผัส ต่อจากทางปัญจทวาร แยกไม่ออกเลยว่า ขณะที่กำลังปรากฏนั้น ทางจักขุทวารหรือทางมโนทวาร เช่น ในขณะนี้แยกไม่ได้ สีปรากฏกระทบตาดับแล้ว แล้วก็ทางใจรับรู้สีนั้นต่อจึงปรากฏเห็นว่าเป็นคนต่างๆ วัตถุสิ่งต่างๆ ไม่มีการที่จะแยกออกได้เลยว่า สีที่กำลังปรากฏทางตาเป็นทางปัญจทวารหรือทางมโนทวาร ถ้ากระทบสัมผัสสิ่งที่แข็งขณะนี้ก็แยกไม่ออก จะบอกว่าเป็นแต่เพียงกายทวารอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับเร็วมาก รูปที่กำลังปรากฏทางกายที่กระทบ ต้องเกิดขึ้น เราอย่าไปคิดว่า มีรูปนี้มาก่อน แล้วเราก็มากระทบสัมผัส ความจริงรูปทุกรูป ทุกกลุ่ม เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าเป็นรูปที่ไม่อาศัยกรรมก็เกิดเพราะอุตุ เกิดแล้วดับ กำลังเกิดดับอยู่
เพราะฉะนั้นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน จึงประจักษ์การเกิดขึ้น แม้ของรูปที่กำลังกระทบสัมผัส และการดับไป เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ในขณะนี้ที่เรากำลังกระทบสัมผัส กายปสาทรูปก็เกิดดับ และวัตถุที่แข็งที่มีลักษณะแข็งก็กำลังเกิดดับด้วย
เพราะฉะนั้นจึงมีเหตุปัจจัยของแต่ละวิญญาณที่จะเกิดขึ้น เช่น ถ้าเป็นทางตาก็มีจักขุปสาท แล้วก็มีรูปารมณ์ แล้วถ้าเป็นที่ๆ เห็นสีสันวัณณะกระจ่างชัดก็ต้องอาศัยแสงสว่าง ซึ่งถ้าไม่มีแสงสว่าง ไม่มีทางเลยที่สีสันวัณณะต่างๆ จะปรากฏ คนในห้องนี้จะมีเท่าไร เพียงมืดสนิทจะไม่รู้เลย
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า สีที่กำลังปรากฏทางตาที่ทำให้เห็นเป็นรูปร่างสัณฐานนั้นต้องอาศัยแสงสว่างด้วย จึงปรากฏรูปร่างสัณฐานได้
และประการสุดท้าย ก็คือว่าต้องมีปัญจทวาราวัชชนจิต เกิดก่อนถ้าปัญจทวาราวัชชนจิตยังไม่เกิด ไม่มีทางที่จักขุวิญญาณขณะนี้จะเห็นได้
ด้วยเหตุนี้คำว่า มนสิการ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ ๔ ซึ่งจากพระไตรปิฎกโดยตรง จะตัดแสงสว่างออก จะมีแต่เพียงปัจจัย ๓ อย่าง สำหรับทางตาที่เป็นมนสิการ ก็ได้แก่ปัญจทวาราวัชชนจิตซึ่งเกิดก่อน