ไม่ต้องนึกถึงชื่อ แต่ให้รู้ที่ลักษณะ


    อ.นิภัทร เรียนก็เรียนมานานแล้ว จะว่าอยากรู้ก็เหมือนอยากรู้ คือว่ายิ่งรู้ว่าอยากก็รู้สึกว่ายิ่งจะเป็นตัวตนหนักเข้าไปอีก แต่ถ้าว่าไม่อยาก มันยังสงสัยอยู่ไม่หายว่า จิตเห็น หรือเรียกว่าจักขุวิญญาณมันลักษณะมันเป็นอย่างไร ไอ้ตัวนี้ จะต้องรู้ ถ้าไม่รู้สติปัฏฐานมันเกิดไม่ได้ ถ้าไม่รู้ตรงนี้ พระนิพพานไปไม่ได้ เพราะว่าทางตรงนี้เรายังไม่รู้ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ทุกวัน ได้ยินอยู่ทุกวัน ได้กลิ่นอยู่ทุกวัน รู้รสอยู่ทุกวัน ถูกต้องสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอยู่ทุกวัน เราก็ยังไม่รู้ แล้วเมื่อไรเราจะพอเห็นทางไปพระนิพพานได้บ้าง

    ท่านอาจารย์

    คุณนิภัทรอยากรู้จักชื่อ

    อ.นิภัทร ไม่อยากรู้จักชื่อ อาจารย์ ชื่อผมพอจำได้แล้ว

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่อยากรู้จักชื่อแล้วสะดวก เพราะเหตุว่าขณะนี้มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ต้องนึกถึงอตีตภวังค์ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ ปัญจทวาราวัชชนะ จักขุวิญญาณ หรือจิตอื่นๆ ซึ่งเกิดต่อ ไม่ต้องรู้จักชื่อ ไม่ต้องนึกถึงชื่อเลย เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    การเรียนเพื่อที่จะให้เราเห็นความเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าสภาพธรรมกำลังปรากฏ แต่ปัญญาไม่พอที่จะเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมซึ่งเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยพระธรรมเทศนาโดยละเอียดให้เข้าใจจริงๆ ว่า กว่าจักขุวิญญาณจะเกิดต้องมีปัญจทวาราวัชชนจิตก่อน และเมื่อจักขุวิญญาณดับไปแล้วก็ต้องมีจิตอื่นเกิด ซึ่งในขณะนี้ก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาแก่จิตซึ่งรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา โดยเราไม่จำเป็นต้องบ่งชี้เฉพาะ หรือว่าเรียกชื่อ รู้ชื่อเลย เพียงแต่ว่าให้เข้าใจลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นสภาพรู้ ขณะนี้ที่กำลังเห็น เป็นอาการรู้ เป็นลักษณะรู้ แล้วไม่ต้องคิดถึงชื่อเลย ที่ถามว่าอยากจะรู้จักขุวิญญาณไหม ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อ ให้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    อ.นิภัทร ตราบใดที่กำลังเห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เห็นเป็นคนนั้นคนนี้ เห็นเป็นอะไรๆ อยู่ต่างๆ นานาอยู่อย่างนี้ มันก็ยังไม่วายที่จะมองเห็นว่า พระธรรมทำไมถึงยากเย็นจริงๆ ทำไมถึงลึกซึ้งจริงๆ แล้วสติปัญญาอย่างเราๆ ฟังก็ฟังมานานแล้ว ทำไมยังไม่พอที่จะเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ คือจุดมุ่ง อย่ามุ่งไปที่เห็น แล้วก็ไม่รู้ว่า เป็นคน เป็นสัตว์ อย่าให้เป็นอย่างนั้น หมายความว่า ในขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ ไม่ต้องไปคิดว่า ถ้าเป็นทางจักขุทวารวิถีแล้ว จะต้องไม่เห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคลเลย เพราะเหตุว่านั่นเป็นการพยายามเล็กๆ แอบแฝงอยู่ซึ่งจะให้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งซึ่งปรากฏทางตาเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้นในลักษณะของสภาพที่เป็นสภาพรู้

    เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เป็นผู้ที่จะต้องรีบร้อนไปหาความผิด สิ่งผิดจากปกติ แต่ว่าให้รู้ว่าปัญญาจริงๆ เริ่มจากความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วรู้ว่าเมื่อเป็นปัญญา ปัญญาไม่ได้รู้อย่างอื่นเลย นอกจากรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นจากการซึ่งไม่เคยรู้เลย ไม่เคยฟังเลย แล้วเมื่อเริ่มฟังแล้ว ก็มีความเข้าใจ มีศรัทธาเห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ เพื่อรู้ความจริง แต่เมื่อยังไม่ใช่สติปัฏฐาน ก็ยังจะรู้ความจริงของสภาพธรรมไม่ได้ เพียงแต่รู้เรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นเวลาที่สติเกิด ผู้นั้นก็รู้ว่าสติเกิด ก็เป็นผู้ที่มีปกติจริงๆ แล้วก็มีการเจริญขึ้นในการฟังด้วย คือไม่ใช่ความอยากที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นผู้มีปกติรู้จักตนเองว่า สติเกิดกับหลงลืมสติ และเมื่อสติเกิด ผู้นั้นก็รู้ว่า แต่ก่อนนี้สติไม่เคยเกิดอาศัยการฟังเข้าใจ สติจึงมีการระลึกได้ แล้วแต่ว่าจะระลึกที่ลักษณะของนามหรือว่าจะระลึกที่ลักษณะของรูปที่เป็นปกติอย่างนี้ แล้วก็ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า อย่าให้มีการผิดปกติเกิดขึ้น เพราะถ้ามีความรู้สึกว่า อยากจะทำสักนิดหนึ่ง หรือมีความต้องการสักนิดหนึ่ง นั่นคือลักษณะของโลภะ ซึ่งถ้ามีมากก็จะประกอบกับมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดซึ่งเป็นสีลัพพตปรามาสกายคันถะ ในการที่จะประพฤติปฏิบัติอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่การรู้แล้วละความไม่รู้จากสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นเมื่อสติเกิดก็เป็นผู้มีปกติ ที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วสติก็ดับ ไม่ใช่สติไม่ดับ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ผู้ที่พยายามจะให้มีสติมากๆ หรือว่าไม่ใช่เป็นผู้ที่อยากมีสติมากๆ หรือไม่ใช่ผู้ที่มารำพันว่า วันนี้สติเกิดน้อยเหลือเกิน ถ้าใครพูดอย่างนั้นก็แสดงอยู่แล้วว่า ตัวอยากอยู่ที่นั่น จนทำให้ถึงกับเอ่ยวาจาว่า สติเกิดน้อยเหลือเกิน ไม่ใช่เป็นผู้ที่เข้าใจสภาพธรรมว่า ตัวจริงคืออย่างนี้ ความจริงคืออย่างนี้ ลักษณะที่สติเกิดคืออย่างนี้ ลักษณะที่หลงลืมสติก็คือต่างกับขณะที่สติเกิด

    เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า ในขณะที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมเริ่มที่จะเข้าใจหรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจ หมายความว่า การพิจารณาหรือความมั่นคงในความเข้าใจที่เกิดจากการฟังยังไม่พอ

    เพราะฉะนั้นอาศัยการฟังอีก เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นสาวกขาดการฟังไม่ได้เลย ฟังไม่ใช่เพื่อที่จะให้สติเกิดในขณะนั้น ฟังเพื่อที่จะเข้าใจ แล้วแต่ว่าขณะที่เข้าใจนั้นจะเป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้เกิดสติระลึกลักษณะของสภาพธรรม หรือยังไม่เกิด ก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องของสังขารขันธ์

    นี่เป็นการอบรมเจริญปัญญาด้วยความรู้ ความเข้าใจจริงๆ ว่าสภาพธรรมมีอยู่ตามปกติ ขึ้นอยู่กับสติ และปัญญาที่จะระลึก และที่จะรู้ หรือยังไม่ระลึก หรือยังไม่รู้ ก็ค่อยๆ อบรมไป โดยที่ว่าไม่ต้องไปสงสัย หรือว่าอยากจะทำอย่างนั้น อยากจะทำอย่างนี้ หรือคร่ำครวญอยากจะมีสติมากๆ ซึ่งถ้าใครคิดอย่างนั้น โลภะมาแล้ว


    หมายเลข 8891
    22 ส.ค. 2567