เพราะเสพคุ้นมานาน
ผู้ฟัง ขอกราบเรียนถามเรื่องสังขารขันธ์ ก็ทำให้เกิดความคิดว่า สังขารขันธ์ ๕๐ เกิดข้นแล้วก็ดับไป จะปรุงแต่งตัวอาวัชชนะ ซึ่งเป็นมโนทวาราวัชชนะ ซึ่งทำหน้าที่ มนสิการที่จะเป็นโยนิโสหรืออโยนิโส สังขารขันธ์ฝ่ายกุศลก็ปรุงแต่งให้เกิดโยนิโสมนสิการ ทีนี้สังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปแล้ว ปรุงแต่งด้วยอำนาจปัจจัยอะไร อยากจะทราบว่า เป็นปัจจัยอะไรที่ปรุงแต่ง โดยเป็นนิสสยปัจจัยได้ไหม หรืออย่างไร ที่ปรุงแต่งให้เกิดโยนิโสมนสิการ แล้วก็กุศลหรืออกุศลชวนะจะเกิด ขอเรียนถามท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ คือการศึกษาธรรมในเบื้องต้นง่ายๆ ที่จะต้องเข้าใจก็ต้องเข้าใจประกอบกันไปด้วย อย่างที่ว่าจิตกับเจตสิกต้องเกิดพร้อมกัน แยกกันไม่ได้ เพราะต่างก็อาศัยซึ่งกัน และกัน เพียงเท่านี้ ภาษาบาลีก็เข้ามาหลายคำ อย่างที่ว่าจิตกับเจตสิกต้องเกิดพร้อมกัน แยกกันเกิดไม่ได้ ก็แสดงว่าต่างเป็นสหชาตปัจจัยซึ่งกัน และกัน หมายความว่าจิตก็เป็นสหชาตปัจจัยแก่เจตสิก ๗ ดวง ถ้าพูดถึงพวกทวิปัญจวิญญาณ แล้วเจตสิก ๗ ดวงเป็นสหชาตปัจจัยให้จิต ซึ่งเป็นปัจจยุบัน คือปัจจัยกับอุปันนะ ธรรมซึ่งเกิดเพราะอาศัยปัจจัยนั้นคือผลนั่นเอง
เพราะฉะนั้นเมื่อเจตสิกเป็นปัจจัยให้จิตเกิด จิตเป็นปัจจัยให้เจตสิกเกิด ต่างอาศัยกันเกิดพร้อมกัน ก็เป็นสหชาตปัจจัย และถ้าปราศจากกันไม่ได้ โดยที่ว่าจิตเป็นปัจจัยให้แก่เจตสิก และเจตสิกก็เป็นปัจจัยให้แก่จิต เราพูดอย่างนี้เป็นภาษาไทย แต่โดยนัยของปัจจัยก็เป็น อัญญมัญญปัจจัย คือ ต่างก็อาศัยซึ่งกัน และกัน
เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่เป็นปัจจัย เราต้องพิจารณาว่าเป็นในขณะปัจจุบัน หรือว่าเป็นในขณะอดีต ถ้าเป็นในขณะอดีต ก็ ปกตูปนิสสยปัจจัย ซึ่งเสพคุ้นมานานในอดีต ก็ทำให้แต่ละขณะเกิดขึ้น แม้แต่ศรัทธาของแต่ละคน ซึ่งมีในแต่ละทาง ก็เพราะเหตุว่าเคยมีศรัทธาอย่างนั้นมาแล้วในอดีต เพราะฉะนั้นก็เป็นปัจจัยที่สะสมมาเป็นปกติด้วยดี ทำให้เกิดขึ้นอีก
เรื่องของปัจจัยก็เป็นเรื่องซึ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น อย่าไปแยกเจาะจงเอาชื่อมาใช้ แต่ก็ให้เข้าใจความเป็นปัจจัยนั้น เราภายหลังเราเก็บตกว่าปัจจัยนั้นโดยชื่ออะไร อย่างที่ได้กล่าวถึง สหชาตปัจจัย นี่ก็คงจะไม่มีใครในที่นี้ ซึ่งไม่รู้จักอีกแล้ว จิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกัน สภาพธรรมใดซึ่งเกิดพร้อมกันทั้งปัจจัย และปัจจยุบัน ขณะนั้นปัจจัยนั้นเป็นสหชาตปัจจัยให้สภาพธรรมซึ่งเป็นผลเกิดพร้อมกับตน จึงจะเป็นสหชาตปัจจัย ค่อยๆ ศึกษาไปค่ะ