ระลึกที่ลักษณะจริงๆของธรรม
ผู้ฟัง คือว่า เท่าที่ได้รับฟังท่านอาจารย์ได้บรรยาย การที่เราจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม คือว่า เข้าใจถึงสภาพธรรมว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลนี้ อาจารย์แนะแนวทางคือว่า ให้เราอาศัยหลักการเจริญสติ คือว่า ระลึกรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว คือว่าในขณะนี้ เรายังเป็นปุถุชนอยู่นี้ เราระลึกนี้ จะเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งไหมครับ ท่านอาจารย์ อย่างเช่นเราเหยียบพื้น พื้นแข็ง เราก็ระลึกรู้แข็ง แต่เรายังเป็นปุถุชนอยู่ เรายึดถือ เรารู้แข็ง แต่เราก็ว่าตัวเรารู้แข็ง จะเป็นการสะสมปัจจัยไหมครับ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่าสภาพธรรมมีจริง แล้วปัญญารู้ อวิชชารู้ไม่ได้ แต่ปัญญาไม่ใช่สิ่งซึ่งทุกคนมีแล้วเอามาใช้ อย่างที่เคยพูดกันว่า ใช้ปัญญา ใช้ปัญญานั้นไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าไม่มีปัญญาจะใช้ ต้องค่อยๆ อบรมจนกว่าปัญญาจะเกิดขึ้น แล้วก็เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น
เพราะฉะนั้นก็ต้องทราบว่า ปัญญามีหลายขั้น ปัญญาขั้นฟังเข้าใจเรื่องของสภาพธรรม แต่ยังไม่รู้จักตัวจริงของธรรม เพียงแต่พูดตามว่า นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ อาการรู้ ทั้งๆ ที่ขณะนี้ก็เห็น แต่ไม่เคยรู้เลยว่า เห็นนี่แหละเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ คือ พูดเรื่องของสภาพธรรม แต่ยังไม่ระลึกรู้ตัวจริงของธรรมที่กำลังเห็น
เพราะฉะนั้นปัญญาก็มีหลายระดับ เมื่อฟังมีการเข้าใจถูกต้องแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกในขณะที่เห็น ปกติธรรมดาอย่างนี้ นี่เป็นปัญญาขั้นหนึ่ง ซึ่งเริ่มเกิดพร้อมสติ ซึ่งในขณะนั้นเป็นสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าระลึกลักษณะของสภาพธรรมทีมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แล้วกว่าปัญญาจะเจริญ บุคคลนั้นเป็นผู้รู้เองว่า การที่จะรู้ว่าเห็น เป็นเพียงธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ไม่ใช่ง่าย ทั้งๆ ที่กำลังเห็น แล้วก็กำลังได้ยิน ก็เป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ ซึ่งก็ไม่ใช่ง่ายอีก คิดนึกก็เป็นแต่เพียงขณะจิตซึ่งเป็นแต่เพียงธาตุเกิดขึ้นรู้คำ รู้เรื่องคิดนึกต่างๆ และความชอบ ไม่ชอบ หรือว่าความไม่ชอบ หรือความขยัน หรือว่าชีวิตประจำวันทั้งหมดก็เป็นจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวตน แล้วเมื่อไรปัญญาของเราจะเจริญจนกระทั่งรู้ทั่วจริงๆ ในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เพราะฉะนั้นเราก็ทราบว่า เรื่องของปัญญาเป็นเรื่องที่ต้องรู้จริง โดยการอบรม แล้วถ้าปราศจากสติ ก็เป็นแต่เพียงการรู้เรื่อง ไม่ใช่รู้ลักษณะแท้ๆ ที่กำลังปรากฏ อย่างแข็ง มี รู้ลักษณะที่กำลังรู้แข็งว่า ไม่ใช่แข็ง เพราะเหตุว่าขณะนั้นต้องเป็นจิตที่กำลังรู้แข็ง เป็นอาการรู้ หรือเป็นสภาพรู้ แต่ไม่มีการที่จะไปบังคับว่า จะให้สติระลึกที่แข็ง หรือว่าให้รู้เดี๋ยวนี้ว่า ลักษณะที่รู้แข็งไม่ใช่ลักษณะของแข็ง จะไม่มีการบังคับเลย เพราะเหตุว่าบังคับปัญญาไม่ได้ อวิชชามีมานานแล้วที่จะไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยทั้งการฟัง เป็นปัจจัยให้สติเกิด แล้วก็เริ่มระลึก แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าความเข้าใจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งคนนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย ไม่ต้องคอยวัดว่า เมื่อไรจะรู้แจ้ง อย่างนี้รู้แจ้งหรือยัง ขอให้เป็นความรู้จริงๆ เพราะเหตุว่าขณะนั้นจะรู้เองว่า ค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งไม่เคยระลึกลักษณะของสภาพธรรม
ผู้ฟัง แล้วการที่เราเริ่มระลึกนี้ ก็จะเป็นปัจจัย ใช่ไหมครับท่านอาจารย์ แต่ก่อนเราอาบน้ำ เราไม่เคยฟังพระธรรม เราก็อาบๆ ไปเลย แต่ปัจจุบันนี้เวลาเราอาบน้ำ เราก็ระลึกสติ โดยที่เราก็ระลึกว่า มันเย็นอะไรแบบนี้ ไม่ใช่การบังคับ นี่ก็จะเป็นเหตุปัจจัยสะสมไว้ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ
ผู้ฟัง แล้วในสมัยนั้นท่านอาจารย์ได้ยึดถือว่า เป็นตัวตนหรือเปล่าครับ ก่อนหน้านั้น
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าใครก็ต้องมีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนทั้งนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ ไม่ได้มีปัญญาที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนประสูติ ถ้าไม่มีกิเลส ก็ไม่มีการดับกิเลส แต่เพราะมีกิเลส แล้วมีปัญญาเกิดขึ้น จึงดับกิเลสที่มี