.. เพื่อเข้าใจความจริง


    ผู้ฟัง เรื่องของสัมปฏิจฉันนกิจ แล้วก็เรื่องของทวิปัญจวิญญาณ เรื่องของอาวัชชนจิต เรื่องของจิตที่กล่าวไว้ละเอียดลออมาก ระดับในพระอภิธรรม จิตบางประเภทไม่ปรากฏในพระวินัยหรือในพระสูตร เป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่น สัมปฏิจฉันนจิตก็ตามแต่ หรืออาวัชชนจิตก็ตามแต่ เวลาแสดงในพระสูตร ไม่มีแสดงไว้ว่า เป็นเรื่องอย่างนั้นตามที่ยกขึ้นมา ก็เป็นตัวตน คน เขา เรา สัตว์ ในเรื่องของสภาพจิตอย่างนี้ไม่มี อาจารย์สุจินต์ช่วยกรุณาอธิบายให้เข้าใจได้ไหมครับว่า ทำไมท่านจึงไม่แสดงในความละเอียดของจิต ควรจะพูดในพระสูตรได้บ้างก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ อันนี้ก็เป็นความต่างกันโดยนัยของพระสูตรกับพระอภิธรรม เพราะเหตุว่าโดยนัยของพระสูตร ก็จะเห็นได้ว่า เป็นธรรมที่ทำให้ผู้ฟังสามารถที่จะระลึก แล้วก็เข้าใจได้ โดยที่ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ความละเอียดของจิต เช่น ในขณะนี้ที่กำลังเห็นแล้วก็มีความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบ เป็นของที่คนฟังสามารถที่จะพิจารณาเข้าใจได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ หรือแม้แต่ปัญจทวาราวัชชนะ ซึ่งเกิดก่อน แต่ว่าผู้ที่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรม อย่างเห็น ไม่ใช่ตัวตน เพียงฟังสั้นๆ แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า เห็นมี แต่ไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้นความหมายว่าเห็นไม่ใช่ตัวตน เพราะเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ ถ้าสามารถจะเข้าใจอย่างนี้ได้จริงๆ ก็เป็นการที่สติสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ทั้ง ๖ ทวาร คือ ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งนี่เป็นจุดประสงค์ของการศึกษาเรื่องของปรมัตถธรรม คือ ไม่ใช่ท่องได้ จำได้ หรือว่ารู้ความละเอียด แต่ว่าเพื่อจะรู้ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นถ้าในขณะนี้กล่าวว่า กำลังเห็นเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่ตัวตน และสามารถจะเข้าใจได้จริงๆ ในครั้งโน้นก็มีผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้วก็ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ในครั้งนี้ไม่พอ หมายความว่าไม่เห็นว่าจะเป็นอนัตตา เห็นก็ยังคงเป็นเราเห็น ได้ยินก็เป็นเราได้ยิน เพราะฉะนั้นการที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพื่อที่สติจะได้เริ่มระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ก็ต้องอาศัยปัจจัยคือการฟัง การพิจารณา จนกระทั่งเข้าใจความหมายที่ว่า เห็นเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาเราอ่านพระสูตร หรือศึกษาพระสูตรแล้ว จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในพระสูตรนั้นจบแล้ว ผู้ฟังก็ได้บรรลุเลย ตามที่ท่านแสดงไว้นั้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องของสัมปฏิจฉันนจิต สันตีรนจิต อะไรอย่างนี้ ทำให้ท่านผู้ฟังเกิดความรู้สึกว่า ถ้าฟังเท่านี้ก็น่าจะบรรลุได้หรือเข้าใจได้ ตามที่ท่านได้ทรงแสดงอย่างนั้น อันนี้จะมีขออธิบายอย่างไร อาจารย์ช่วยกรุณาเพิ่มอีกนิดหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นปรมัตธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นสภาพธรรม แต่ว่าอวิชชาไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย นี่เป็นเหตุที่ว่า ทั้งๆ ที่พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงพระธรรมว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สภาพธรรมที่กำลังเห็นอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สภาพธรรมที่กำลังได้ยินก็เป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ถ้าปัญญาของใครอบรมมาที่จะเห็นจริง เข้าใจจริง รู้ขณะที่สภาพธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป คือ ไม่มีเยื่อใยที่จะเป็นเรา ที่กำลังพยายามทำอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะเหตุว่าได้อบรมเจริญปัญญาจนละ ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า ละการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่ง่าย กว่าจะเข้าใจว่า นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม แล้วเมื่อรู้ว่า เป็นนามธรรม และรูปธรรมแล้ว การที่เห็นว่า ไม่ใช่ตัวตนนั้นจะทำให้ละ ไม่ใช่จดจ้อง

    เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถที่จะละคลายความต้องการ หรือการจดจ้องในนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ก็สามารถที่จะเห็นการเกิดขึ้น และดับไปของนามธรรม และรูปธรรมได้ ซึ่งขณะนี้ถ้าฟังโดยขั้นพิจารณา ก็จะรู้ได้ว่า ได้ยินหรือเสียงเกิดแล้วก็ดับ นี่เป็นความจริง แต่ไม่ละคลายความยึดถือสภาพนั้นว่า เป็นเราหรือเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้นถ้าในขณะที่ผู้ฟังในครั้งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ได้อบรมเจริญปัญญาพร้อมที่จะละคลาย ในขณะที่ทรงแสดงเรื่องของจิตที่เห็น หรือว่าจิตที่ได้ยินก็สามารถที่จะรู้ความจริงแล้วละคลาย ก็จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างทุกคำที่ทรงแสดงนั้นเป็นสัจธรรม ความชอบซึ่งเกิดจากเห็นแล้ว หรือความไม่ชอบซึ่งเกิดจากได้ยินแล้ว ในขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แล้วเมื่อสติระลึกแล้วไม่ยึดถือ ขณะนั้นก็ย่อมประจักษ์ความจริง เป็นสัจธรรม แล้วก็เป็นวิปัสสนาญาณได้

    เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะได้ทราบว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นสัจธรรมสอดคล้องกับการอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งสภาพธรรม คือ ตราบใดที่ยังไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องมีการอบรมปัญญาจนกว่าจะรู้ แล้วเมื่อค่อยๆ รู้แล้ว ก็ไม่ใช่ว่า การละคลายนั้นละคลายอย่างอื่น ละคลายในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน แล้วผู้นั้นก็จะรู้เองว่า ไม่มีการติดข้องว่า เป็นเรา แต่ว่ารู้ว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละชนิดทั่วขึ้น เป็นปัญญาจริงๆ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งจะเกิดรู้แจ้งอริยสัจธรรมขณะไหนย่อมได้ เพราะว่าสภาพธรรมกำลังเกิดดับตามความเป็นจริง


    หมายเลข 8900
    22 ส.ค. 2567