ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องชื่อ
ผู้ฟัง สมมติว่าเรามองเห็นรูป ต้องมีเฉยๆ อยู่ก่อน แล้วต่อจากนั้นจึงจะเป็นกุศลหรืออกุศล หรือสุขหรือ ทุกข์ อันนี้จะเป็นได้ไหม
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่าปัญจทวาราวัชชนะซึ่งเป็นกิริยาจิต ก็เป็นอุเบกขา แล้วจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ เป็นอุเบกขา สัมปฏิจฉันนะเป็นอุเบกขา สันตีรณะเป็นอุเบกขา โวฏฐัพพนะเป็นอุเบกขา ก็ต้องเป็นสภาพของจิตซึ่งไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ
ผู้ฟัง แล้วต่อจากนั้นถ้าพิจารณาซ้ำไปอีก จิตนั้นจะถึงจะเป็นสุข เป็นกุศล ถึงจะเป็นทุกข์
ท่านอาจารย์ จิตที่เกิดภายหลัง ถ้าเป็นกุศลหรืออกุศล
ผู้ฟัง ครั้งแรกจะต้องเป็นเฉยๆ ก่อน
ท่านอาจารย์ ก็แล้วแต่ว่าทวารไหน
ผู้ฟัง ตามองเห็นอะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็น ๔ ทวารก็เป็นอุเบกขา
ผู้ฟัง อันนี้ผมเคยพิจารณาธรรมอยู่ สติปัฏฐาน ๔ จะเป็นกายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ธรรมก็ดี เมื่อมีสติแล้ว ธรรม ๔ อย่างนี้ ผมว่าจะไม่แยกออกจากกัน จะถูกหรือผิด คือสมมติว่า เรามีสติทางรูป จิตก็ต้องเกิดขึ้น ธรรม เวทนาก็ต้องเกิดขึ้น ธรรมก็ต้องเกิด คือ ธรรม ๔ เหล่าแล้ว แต่ว่าผู้มีสติขณะกำลังเจริญสตินั้นจะมีอะไรเป็นอธิบดี แต่ว่าสมมติว่ามีธรรมเป็นธรรม คือเรื่องราว สังขารที่เราปรุงแต่ง เกิดขึ้นแก่จิต ก็ต้องมีจิต มีเวทนา มีกายด้วย อันนี้จะถูกผิดประการใด
ท่านอาจารย์ อันนี้ก็เป็นเรื่องชื่อ หมายความว่า เรามาคิดถึงกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา หรือ ธัมมานุปัสสนา แต่ถ้าสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏแล้วก็จะพ้นจาก ๖ ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมใดที่มีลักษณะจริงๆ กำลังปรากฏ สติระลึกได้ แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องชื่อ