สภาพธรรมจริงๆไม่มีชื่อ
ผู้ฟัง กระผมสงสัยว่าที่ว่า ๑๗ ขณะนี้ ถ้าจะถามว่า จริงๆ รู้โดยปรมัตถ์หรือเปล่า หรือว่าสามารถรู้โดยผัสสะทางอื่น
ท่านอาจารย์ เวลาที่สภาพธรรมปรากฏ มีการใส่ชื่อไหมคะ ไม่มี เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งเลย ที่ไม่ต้องมานั่งนับว่าจักขุวิญญาณ ๑ ขณะ หรือว่าชวนะกี่ขณะ
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า เราไม่ต้องไปสนใจมัน ว่าจะเกิดตอนไหนดับตอนไหน
ท่านอาจารย์ ขอให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน คือ สภาพรู้ต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามความเป็นจริงทั้ง ๖ ทาง ไม่ต้องสนใจในเรื่องอื่น เรื่องชื่อเรื่องอะไรเลย การที่เราฟังเรื่องของจิต เจตสิก รูป ก็เพื่อที่จะเป็นเครื่องประกอบ หรือว่าเป็นสังขารขันธ์ที่จะให้มีการละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขั้นของการฟังเข้าใจ แต่ว่าในขณะที่เริ่มระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม จะต้องมีความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น ซึ่งในขณะนั้นจะไม่มีชื่อเลย แต่ขณะนี้กำลังพูดเรื่องชื่อต่างๆ ของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมจริงๆ ไม่มีชื่อ แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะเกิดขึ้นทำกิจการงานนั้นๆ เช่น สติ เราพูดบ่อย เหมือนกับรู้จักสติ แต่ว่าแม้แต่สติขั้นปริยัติที่จะแยกออกจากสมาธิ บางคนก็อาจจะไม่ได้สนใจเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ถ้าไม่รู้ลักษณะของสติ หรือถ้าสติไม่เกิด ก็ไม่มีทางที่จะรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมในขณะนี้ได้
เพราะฉะนั้นที่เราใช้คำว่า “สติ” เพื่อที่ให้เข้าใจลักษณะที่เป็นสติปัฏฐานซึ่งทำกิจระลึกรู้ลักษณะของสภาธรรมที่ปรากฏ แล้วจะรู้ลักษณะของสติก็ต่อเมื่อสติเกิดแล้วระลึกจริงๆ เพราะขณะนี้กำลังเห็น กำลังได้ยิน มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ถ้าสติไม่เกิด เราก็ฟังเรื่องของสภาพธรรม
ผู้ฟัง ผมเคยได้ยินอาจารย์บรรยายว่า การเห็นเกิดขึ้นเพราะว่ารูปดับ ๑ ขณะ เท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น เราก็มาตั้งคำถามว่า แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร หมายความว่าจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เราถึงเห็น เราก็ตอบอย่างนั้น เพราะว่ารูปกับนามเป็นปัจจัยซึ่งกัน และกัน ขาดกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมก็เกิดขึ้นไม่ได้ ทำให้ผมสงสัยว่าที่ผมพูดนี้ พูดผิดหรือเข้าใจถูกไหม หรือว่าไม่ใช่อย่างนั้น การเห็นเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ การที่จะรู้เรื่องการเกิดดับของจิต ไม่ใช่โดยนั่งคิด ขณะนี้เราฟัง ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดง แม้แต่เรื่องอายุของรูป หรือว่าจิตเกิดดับเร็วมากเพียงแค่อุปาทขณะ ฐีติขณะ ภังคขณะ ซึ่งขณะนี้ก็เกิดดับนับไม่ถ้วนแล้ว แต่ว่าการจะรู้จริงๆ ต้องค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาขึ้น แม้แต่คำที่ว่า สภาพธรรมเกิดขึ้นจึงปรากฏ ขณะนี้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย คนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย ก็สุดวิสัยที่จะเชื่อ เป็นไปได้อย่างไรที่สีทางตาขณะนี้จะปรากฏแล้วกระทบจักขุปสาท ทางหูก็อาจจะคิดว่า เป็นได้ เพราะเหตุว่าเมื่อกี้นี้ไม่มีเสียง แล้วก็มีเสียง แล้วก็ไม่มีเสียง เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าเสียงเกิดกระทบโสตปสาท แล้วก็ดับ แต่ทางอื่น เช่น ทางกายกระทบสัมผัส ก็ดูเหมือนว่าแข็งอยู่นาน
นี่คือปัญญาของผู้ที่ไม่ได้ประจักษ์แจ้งลักษณะสภาพธรรม แต่ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วไม่เป็นสอง เพราะว่าเกิดจากการตรัสรู้ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา แล้วจะรู้ว่า ปัญญาต้องเจริญอีกมาก เช่น เวลาที่กระทบสัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แข็ง ถ้าแข็งไม่เกิด ขณะนั้นแข็งไม่ปรากฏ แต่เราไม่เคยคิดเลยว่า ในขณะที่กระทบสัมผัส แข็งเกิดจึงปรากฏ ดูเสมือนว่ามีแข็งตลอดเวลา แล้วพอกระทบก็ลักษณะที่แข็งก็ปรากฏ แต่ที่แข็งจะปรากฏได้เพราะแข็งนั้นเกิด แล้วกระทบกายปสาทซึ่งต้องเกิดด้วย แล้วยังไม่ดับไปด้วย
นี่คือโลกตามความเป็นจริง คือ ทีละขณะจิต แต่ว่าเวลาที่เราคิดถึงเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นวัด เป็นศาลาพวกนี้ใหญ่โตมาก เพราะฉะนั้นกระดานดำทั้งแผ่นก็ยังเหมือนกับแข็งที่แข็งอยู่นาน แต่ย่อลงมาเหลือขณะจิตเดียวแล้ว ให้รู้ว่าสภาพธรรมที่จะเกิดปรากฏได้นั้น ต้องมีเหตุมีปัจจัยเกิดแล้วปรากฏ แล้วดับด้วยอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าอบรมปัญญาจริงๆ ไม่มีตัว ไม่มีกระดาน มีสภาพที่กำลังรู้แข็ง เมื่อปัญญาสมบูรณ์ขึ้นเป็นลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมเท่านั้น คือว่าไม่มีเราในขณะนั้น ปัญญาสมบูรณ์ถึงขั้นที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป ก็จะรู้ว่า แข็งที่กำลังปรากฏซึ่งเราเคยกระทบสัมผัสมาตลอดนั้น แท้จริงแล้วเกิดดับในขณะนั้น
นั่นคือการที่จะพิสูจน์ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เป็นความจริง แล้วก็มีผู้สามารถรู้แจ้งจริงๆ แต่ว่าไม่ใช่โดยขั้นคิดไปคิดมา แต่โดยการที่จะต้องค่อยๆ รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมทีละทาง แล้วแยกออก ไม่ปนกัน แล้วก็ไม่ยึดโยงไว้ด้วย เพราะเหตุว่าถ้ายึดโยงอยู่ ก็ยังเป็นเรา แข็งตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเราอยู่นั่นเอง
นี่คือเยื่อใยของอัตตสัญญา แต่ถ้ารู้ว่า จิตเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทีละขณะ แล้วก็ดับก่อน แล้วจิตขณะต่อไปจึงจะเกิดขึ้นมาได้ ก็จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นจิตมากมายหลายชนิด ทางตาก็ชนิดหนึ่งที่เห็น ทางหูก็ชนิดหนึ่งที่ได้ยิน ทางกายที่กำลังกระทบสัมผัสก็อีกชนิดหนึ่ง แล้วทางใจที่กำลังคิดนึกก็เป็นจิตอีกขณะหนึ่ง อีกชนิดหนึ่ง แต่เวลาที่ปรากฏเหมือนกับว่าไม่ดับเลย แล้วก็พร้อมกันด้วย แสดงถึงการเกิดดับที่เร็วมาก
เพราะฉะนั้นก็จะทำให้เห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรม แล้วก็ทรงแสดงโดยละเอียดตามความเป็นจริง ซึ่งไม่มีผู้อื่นสามารถที่จะแสดงได้ แล้วการพิสูจน์คือว่า ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะเป็นนามธรรม และรูปธรรมทั้ง ๖ ทาง