รูปสั่งสมไม่ได้


    ผู้ฟัง ที่ถามเรื่องสั่งสม ผมว่าทุกคนก็งงเหมือนกัน แต่ทีนี้เอาที่เข้าใจง่ายๆ ก็คือว่ามันสั่งสมตั้งแต่เป็นกลละแล้ว ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจิตแล้ว ใช่ไหมครับ ตั้งแต่นั้นมา หมายความว่า คือตอนนี้เขาพูดถึงเรื่องการทำแท้ง ทำแท้งเด็กไม่บาป ความจริงตั้งแต่กลละแล้ว ตอนนั้นก็เป็นมนุษย์แล้ว เพียงแต่ว่าไม่เป็นรูปร่างไม่สมบูรณ์ อวัยวะยังไม่ครบเท่านั้นเอง ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ พูดถึงเรื่องการสั่งสม เป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่เรื่องของรูป อันนี้ต้องแยกกัน คือ รูปไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นนามธรรม การสั่งสม สั่งสมที่นามธรรม เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่แยกลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมจริงๆ ก็จะยังคงมีความยึดถือรูปนามที่รวมกันว่าเป็นตัวตน จนกว่าปัญญาจะประจักษ์จริงๆ ว่า นามธรรมนั้นไม่ใช่รูปธรรมโดยเด็ดขาด เป็นสภาพธรรมที่ต่างกันจริงๆ คือ รูปไม่ใช่สภาพรู้เลย แล้วก็นามธรรมเท่านั้นที่เป็นสภาพรู้ การสั่งสมก็สั่งสมเฉพาะนามธรรม

    ผู้ฟัง สะสมเฉพาะนามธรรม นามรูปแยกจากกัน

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อรูปที่เกิดจากกรรมก็สั่งสมไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องแยกความรู้เรื่องนามกับรูปออกจากกันโดยเด็ดขาด ว่านามธรรมเป็นธาตุรู้ แล้วละก็มี ๒ อย่าง คือ จิตเจตสิกซึ่งอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น แล้วเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ไม่เกี่ยวกับรูปเลย แต่ว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เท่านั้นที่นามรูปอาศัยเป็นปัจจัยซึ่งกัน และกัน แต่ถ้าในภูมิอื่นแล้ว เฉพาะนามธรรมเป็นสภาพรู้ หรือเป็นธาตุรู้

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้เวลาอกุศลจิตเกิดขึ้นขณะหนึ่ง ก็ระลึกได้แล้วว่าสั่งสมฝ่ายไม่ดี แล้วก็น่ากลัวกรรมซึ่งจะเกิด เพราะการสั่งสมอกุศลซึ่งไม่ดีนั้น เพราะเหตุว่าถ้าอกุศลนั้นมีกำลังเมื่อไร ก็จะกระทำทุจริตกรรมเมื่อนั้น แล้วก็เมื่อมีกรรมซึ่งเป็นเหตุแล้ววิบากข้างหน้าต้องมีแน่นอน เพราะว่าเราขณะนี้ที่เกิดมาแล้ว ก็มีการรับผลของกรรมโดยวิบากจิตเกิดขึ้นเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ซึ่งถ้าทุกคนมั่นใจจริงๆ ว่า ไม่มีใครทำอะไรได้เลยสักขณะเดียว ขณะจิตที่เกิดแล้วก็ดับไปอย่างเร็ว มีปัจจัยพร้อมที่จะปรุงแต่งให้เกิดขึ้น แล้วก็ไม่ยอมหยุดด้วย จิตขณะเมื่อกี้ดับไปแล้ว ก็มีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสังสารวัฏฏ์จึงยืดยาวมาก แล้วก็ไม่ได้จบอยู่เฉพาะชาตินี้ เพราะฉะนั้นในชาตินี้ก็ยังเห็นกรรม และผลของกรรม เพราะฉะนั้นชาติหน้าก็จะต้องมีต่อไปเรื่อยๆ ถ้าผู้ใดที่เห็นผลของอกุศลกรรม แล้วก็เห็นโทษ ก็จะสั่งสมกุศลกรรมมากขึ้น แล้วถ้าผู้ใดเห็นว่าการเกิดก็ไม่มีอะไรเลย ตั้งแต่เกิดมาไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ทุกขณะผ่านไป หมด ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกวันจนกระทั่งถึงขณะจิตสุดท้าย ก็ไม่สามารถจะมีอะไรติดตามไปได้เลย แต่กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาตินี้ ก็เป็นอย่างนี้ เหมือนกับกำมือเปล่าจริงๆ ซึ่งเราก็ควรที่จะได้เกิดปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรม เพื่อที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม มิฉะนั้นแล้วไม่มีหนทาง ถ้ายังคงเป็นอกุศลมากๆ แล้วก็ไม่อบรมเจริญปัญญาเลย ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็ปรากฏ แต่ว่าจิตมีปัจจัยที่จะเป็นโลภะ ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ หรือว่าเป็นโทสะ ก็หมุนเวียนไปในเรื่องของอกุศล

    ผู้ฟัง การสั่งสมนี้ จิตแยกออกไปมากเหลือเกิน ทั้งจิตที่ไม่มีวิถี และจิตที่มีวิถี ทีนี้พิจารณาถึงเรื่องการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เช่น เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจิต นั่นก็เป็นจิตที่ไม่มีวิถี

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นวิถี

    ผู้ฟัง ไม่มีวิถี

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นวิถี ไม่ใช่วิถีจิต

    ผู้ฟัง ไม่ใช่วิถีจิต แล้วก็ ต่อมาก็ภวังคจิต แล้วก็จุติจิต จิตเหล่านี้ไม่รวมทั้งจิตที่รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทีนี้คำว่าสั่งสม หมายความว่า ความจริงจิตทั้งหมดเหมือนน้ำหยดหนึ่ง แต่ว่าพระพุทธองค์ท่านทรงแยกเพื่อความเข้าใจเท่านั้น แต่ว่าสะสม หมายความว่า อาวัชชนะก็สั่งสม จิตทุกดวงสะสมทั้งนั้นหรือเปล่า หรือว่าไม่มีวิถีแล้วก็ไม่สะสม

    ท่านอาจารย์ ต้องแยก ถ้าเป็นวิบากจิต เกิดขึ้นเพราะกรรมในอดีตที่ได้ทำแล้ว มีปัจจัยที่พร้อมจะให้วิบากจิตประเภทไหนเกิด วิบากจิตประเภทนั้นก็เกิดเห็นทางตา หรือได้ยินเสียงทางหู ได้กลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น แล้วก็กระทบสัมผัสทางกาย แล้วดับหมดไปเลย วิบากจิตไม่มีหน้าที่อะไรเลย เพียงแต่เป็นผลของกรรมที่ทำให้ต้องเห็น ต้องได้ยินต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    ผู้ฟัง ผมสงสัยว่าในเมื่อปฏิสนธิจิตเป็นตัวกำหนด

    ท่านอาจารย์ เป็นวิบากจิต

    ผู้ฟัง เป็นวิบากจิต ถูกต้องครับ

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นเพราะกรรม

    ผู้ฟัง ปฏิสนธิจิตทำหน้าที่ปฏิสนธิอย่างเดียวแล้วก็หมด

    ท่านอาจารย์ อย่างเดียวแล้วก็ดับไป วิบากจิตทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงทำกิจของวิบากกิจเท่านั้นเองแล้วก็ดับ แต่ต่อจากนั้นหลังเป็นแล้ว หลังได้ยินแล้ว แล้วแต่ว่าจิตของใครสะสมกุศลมา กุศลเกิดบ่อย จิตของใครสะสมอกุศลมา อกุศลก็เกิดบ่อย

    เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นแต่ละคนมีอัธยาศัยต่างๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นวงศาคณาญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือว่าข่าวที่ได้รับฟัง ก็จะเห็นได้ว่ามีความวิจิตร มีความคิดต่างๆ กันตามการสะสม วิจิตรมากทีเดียว


    หมายเลข 8926
    22 ส.ค. 2567