ตายแล้วฟื้น
ผู้ฟัง ขอเรียนอาจารย์สมพร อยากทราบว่าบุคคลที่ตายไปแล้ว แล้วมาเล่าให้ฟัง เป็นผลรู้จากจุติจิตใช่หรือเปล่า ขอให้ขยายความ
อ.สมพร ท่านถามว่าคนที่ตายไปแล้ว
ผู้ฟัง มาเล่าเรื่องราวที่ไปพบมาแล้ว ในเหตุการณ์ที่น่าเชื่อถือได้
อ.สมพร ที่เขาบอกว่าตายนั้น ไม่ใช่ตายจริง เพราะว่าตายจะต้องมีจุติจิตเกิดขึ้น เพราะการสลบ บางทีก็สลบไปนานก็มี เพราะการสลบไม่ใช่ตาย ไม่ใช่จุติจิต เพราะว่ายังเป็นไปในปวัตติกาลอยู่ แต่ว่าสลบ คือ การสลบก็มีหลายลักษณะ บางคนที่ ต่างประเทศสลบตั้งนมนาน หลายๆ ปีก็ยังมี เพราะฉะนั้นการสลบไม่ใช่ตาย แต่ว่าวิถีจิตก็ยังเกิดได้ เขาบอกว่ามีวิถีจิตเกิดได้ในชวนะ ๖ ชวนะ คนสลบ คนตายใกล้ตายมี ๕ ขณะ โดยคนปกติก็มี ๗ ขณะส่วนมาก ดังนั้นที่ว่า เขาบอกว่าตายไปแล้ว ๒ วัน ๓ วันแล้วก็ฟื้นขึ้นมามาเล่าให้ฟัง ไม่ใช่ การที่เป็นไปได้อย่างนั้นเหมือนเราฝัน เราหลับไปเราก็ฝันมา ตื่นขึ้นขึ้นมาเล่าเรื่องราวที่เราฝันว่าเราไปอย่างนั้นจริงๆ มีรูปร่าง มีตัวตน พบคนนั้นพบคนนี้อะไรต่างๆ นานา การฝันอาจจะเกิดจากกรรมบันดาลก็ได้ เมื่อกรรมบันดาลส่วนมากก็มีจริง เหตุของฝันมี ๔ อย่าง ทีนี้ในเรื่องของตายไปแล้วฟื้นมา อาจจะเหมือนอย่างความฝัน กรรมบันดาลให้ปรากฏอย่างนั้นจริงๆ ถ้าเรื่องนั้นจริงก็เป็นเหตุของกรรมบันดาล เหมือนฝัน เรียกว่าบุพนิมิต เหมือนฝัน แล้วเรามาเล่าให้ฟัง บางคนเขาเล่าอย่างนี้ เขาตายไปเขาไปนรกแล้วยมบาลก็บอกว่าคนนั้นจะตายในปีนั้น วันนั้น เดือนนั้น แล้วเขาก็ฟื้นขึ้นมา มาเล่าให้ฟัง ก็แบบเดียวทำนองที่ฝัน แต่ว่าฝันอย่างนั้นเป็นบุพนิมิต ถ้าตายจริง คนนั้นถึงเวลาตายจริง ก็เป็นเพราะบุพนิมิต กรรมบันดาลให้ทราบ ความฝันมีถึง ๔ อย่าง ของจริงเกิดจากกรรมเรียกว่า บุพนิมิต ก็เป็นโดยทำนองนี้ เพราะว่าตายแล้วจะฟื้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าจุติจิตเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วก็ดับไปเลย เกิดขึ้นในภพใหม่ เรียกปฏิสนธิ
ท่านอาจารย์ ถ้าศึกษาธรรมแล้ว คงจะทราบแน่นอน ใครก็ตามที่บอกว่าตายไปแล้วฟื้นขึ้นมา เข้าใจผิด เพราะว่าตายไม่ได้ ถ้าตายหมายความว่าจุติจิตเกิด คือ จิตขณะสุดท้ายของภพชาตินี้ ทำให้สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ เพราะฉะนั้นจะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นใครจะคิดว่า ตายไป ๕ วัน ๑๐ วัน ๓ วันหรืออะไรก็ตามแต่ แต่จุติจิตไม่ได้เกิด จะชื่อว่าตายไม่ได้ แต่ว่าอาจจะคิดเอาเองว่าตายไปแล้ว แต่ความจริงถ้าตายก็คือจุติจิตเกิด แล้วดับ แล้วสิ้นความเป็นสภาพบุคคลนี้ กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย
ผู้ฟัง ที่เขาชอบเล่าว่า ตายแล้วได้ไปนรกบ้าง สวรรค์บ้าง หรือว่าไปนั่งสมาธิอยู่ในห้องน้ำ ไปสวรรค์กลับมาแล้วอย่างนี้ เป็นประเภทจิตอาวรณ์ไป จิตระลึกนึกถึงไป เคลิบเคลิ้มไป หรืออะไรอย่างนี้ อาจจะอาหารกำเริบ กินอาหารมาก ทำให้ธาตุไม่ปกติฝันว่าลอยได้ เหาะได้อย่างนี้ อยากจะให้อธิบายทั้ง ๔ เพื่อจะได้สอดคล้องกับพวกที่คิดว่า ตัวเองไปนรกได้ ไปสวรรค์ได้ แล้วก็กลับมาทั้งๆ ที่ยังไม่ตายจริงๆ เรียกว่าสลบไปเท่านั้น
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเป็นจิตประเภทไหน เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต
ผู้ฟัง ขณะไหน
ท่านอาจารย์ ที่ฝันว่าลอยได้ หรืออะไรอย่างนี้
ผู้ฟัง ก็คงจะเป็นอกุศลจิต
ท่านอาจารย์ สั่งสมมาใช่ไหม ถ้าไม่สั่งสมมาก็ไม่ฝันแปลกๆ อย่างนั้น
ผู้ฟัง เคยแบบทานอาหาร อิ่มๆ แล้วก็นอน
ท่านอาจารย์ ยังไงก็ตาม
ผู้ฟัง นอน แล้วก็เหาะได้
ท่านอาจารย์ สะสมความคิดนึกต่างๆ เพราะฉะนั้นก็ออกมาในรูปแบบที่เรียกว่า ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนทั้งสิ้น ควรที่จะทราบว่า ขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล อันนี้คือประโยชน์ แทนที่ว่าจะไปคิดว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ก็ยิ่งเป็นอกุศลที่คิดไปเรื่อยๆ แต่ว่าถ้าระลึกได้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรม เป็นแต่เพียงความคิดนึก และเรื่องความคิดนึก ถ้าใครสนใจก็จะออกไปนอกโลกกว้างมากเลย เพราะฉะนั้นก็ให้ทราบว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต เพื่อที่จะได้เป็นกุศลจิตที่รู้
ผู้ฟัง ที่คุยกันนี้ไม่รู้ว่ามันไปเข้าของกิเลส กรรม วิบาก ตรงไหน อาจารย์สุจินต์ช่วยตะล่อมหน่อย
ท่านอาจารย์ ความคิดเป็นอกุศลจิตที่คิด เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตคิดไปในกุศล ก็เป็นไปในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ในเรื่องความสงบของจิต ในเรื่องการรู้ลักษณะสภาพธรรม นอกจากนั้นเป็นอกุศล ใครจะบอกว่าทำอะไรที่ไหน เหาะอยู่ที่นั่นที่นี่ก็ตามแต่ เป็นเพียงความคิด
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าเป็นการสั่งสมที่จะคิด ใช้คำว่า “เลอะเทอะ” ได้หรือเปล่า คิดไปเรื่อยๆ โดยที่ว่าขณะนั้นๆ ไม่รู้ว่า เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ก็คิดไปใหญ่ แต่ว่าคนที่รู้ ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต แล้วเห็นโทษ ไม่ใช่เพียงแต่บอกว่าเป็นอกุศลจิตเท่านั้น แต่ต้องเห็นโทษของการสั่งสมด้วยที่คิดอย่างนั้น ทำไมไม่คิดในเรื่องดีๆ ทำไมไม่คิดในเรื่องสภาพธรรม ทำไมไม่คิดที่จะช่วยเหลือคนอื่น ทำไมไม่คิดศึกษาหาความรู้ความเข้าใจสภาพธรรม แต่ไปคิดเรื่องอื่นที่เป็นอกุศล