เพราะหลงวิบาก


    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ว่า มันมีประโยชน์อะไร ในวาระหนึ่ง เช่นวาระเห็น จะรู้ละเอียดว่า อะไรเป็นวิบาก จะให้ประโยชน์อะไรกับเรา

    ท่านอาจารย์ ประโยชน์มีมาก เพราะว่า ทุกคนหลงวิบาก คือ ต้องการเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ลิ้มรส ชั่วขณะเดียว สั้นๆ แต่ว่ามีความพอใจที่ติดตามมากมายมหาศาล ในขณะที่ลิ้มรสที่อร่อย ผ่านไปแล้ว หมดไปแล้ว ก็จริง ก็ยังคิดถึงรสนั้นแล้วก็ยังต้องขวนขวายเพื่อที่จะได้รสนั้นมาอีก

    เพราะฉะนั้นเรื่องของกิเลสจะติดตามมามากมาย ทั้งๆ ที่สิ่งที่ปรากฏทางตาก็สั้นมาก เสียงที่กระทบหูก็สั้นมาก กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่กำลังปรากฏก็สั้น แต่เมื่อไม่รู้ความจริงว่า สภาพธรรมเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่แสนสั้น แล้วก็จริงๆ แล้วไม่ใช่ของใครเลย เป็นแต่เพียงชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นสภาพของชวนวิถีจิต ซึ่งยินดีพอใจในสิ่งที่ตาเห็น แม้ว่ารูปนั้นจะยังไม่ดับ รูปารมณ์ยังไม่ดับ ยังไม่ทันรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นอะไร แต่ก็มีเหตุปัจจัยที่จะให้โลภะ คือ อกุศลจิตเกิดซ้ำกันถึง ๗ ขณะ เสพอารมณ์นั้น เป็นชวนวิถีจิต มากกว่าขณะที่ตาเห็นสั้นๆ เพราะฉะนั้นโลภมูลจิตก็เกิด ๗ เท่าของจักขุวิญญาณ หรือว่าโทสมูลจิตก็เกิดขึ้น ๗ เท่า

    นี่ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า ถ้าไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วการที่ใครจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้กลิ่นอะไร เป็นเรื่องของวิบาก คือ ผลของกรรม อย่างไรๆ ก็หนีไม่พ้นต้องเห็นสิ่งนั้นแน่นอน ต้องได้ยินเสียงนั้นแน่นอน ในเมื่อเป็นผลของกรรมที่ทำให้มีตาสำหรับเห็น มีหู โสตปสาทรูป ซึ่งบุคคลอื่นก็ทำให้เกิดไม่ได้นอกจากกรรม เมื่อทำให้เกิดแล้วก็ยังแล้วแต่ว่าขณะนั้นเป็นผลของกรรมใด ก็ทำให้เสียงนั้นกระทบกับโสตปสาท ทำให้การได้ยินเกิดขึ้น ทุกท่านซึ่งมีความสนใจในธรรม มีโอกาสที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี ให้ทราบว่า ถ้าไม่มีอดีตกรรมที่ได้สะสมที่จะทำให้โสตวิญญาณเกิดขึ้นได้ยินเสียง ที่สามารถจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมแล้ว จะไม่มีโอกาสได้ยิน

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แม้แต่การได้ยินเสียง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญา หรือเกิดโลภะ เกิดโทสะก็ตามแต่ ก็ต้องแล้วแต่อดีตกรรมที่ทำมา ตั้งหลายคนในโลกนี้ก็คงแสวงหาสัจธรรม แต่ว่าผู้มีโอกาสจะได้ฟังก็ต้องทราบความเป็นมาเป็นไปว่า ถ้าไม่มีการสั่งสมบุญไว้ในอดีตก็ไม่ได้ฟัง บางท่านก็ต้องเดินทางไกลมาเพื่อจะฟัง แม้แต่ในที่นี้ก็มีท่านหนึ่งซึ่งมาจากประเทศนิวซีแลนด์ที่จะฟังพระธรรม

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องของวิบากซึ่งเมื่อมีเหตุที่สะสมมาแล้วต้องเกิด แล้วแต่ว่าจะทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย ทางกายบางคนก็กำลังเจ็บป่วย ก็ไม่ได้ต้องการปรารถนาเลย แต่ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า สภาพของจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะอย่างรวดเร็ว สั้นมาก แต่ใครทำ มีอะไรที่เป็นปัจจัยทำให้จิตซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้น แล้วรู้เฉพาะแต่ละอารมณ์ แต่ละขณะ ก็จะเป็นผู้ที่มั่นคงในเรื่องของกรรม ถ้ารู้ปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้นในขณะนี้ แต่เมื่อรู้แล้วว่า ขณะไหนเป็นวิบากก็ควรที่จะระวัง ที่จะให้หลังจากนั้นแล้วกุศลจิตเกิด แทนที่จะเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าถ้ายังมีกิเลสอยู่แล้วก็ยากที่จะให้กุศลจิตเกิด ถ้าไม่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน

    นี่ก็เป็นการที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้ผู้ที่ได้เข้าใจจริงๆ ได้เห็นว่า ทั้งหมดไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับปัญญา เพราะว่าอย่างไรๆ ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไปโดยที่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย ทั้งชื่อ ก็ไม่ใช่ของตัวเอง ทรัพย์สมบัติ ทุกสิ่งทุกอย่าง วงศาคณาญาติ ก็เป็นแต่เพียงเรื่องราวที่คิดนึกหลังจากเห็น หลังจากได้ยิน หลังจากได้กลิ่น หลังจากลิ้มรส หลังจากที่กระทบสัมผัส

    เพราะฉะนั้นความคิดนึกหลังจากเห็น ได้ยินจะปรุงแต่ง แล้วแต่ว่าโลกของใครจะเป็นโลกซึ่งขัดเกลากิเลส หรือว่าจะสะสมกิเลส มากน้อยเท่าไร แต่ว่าทางเดียวที่จะละกิเลส ดับกิเลสได้ โดยการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งไม่คอยเลย ปรากฏแล้วก็ดับไป ปรากฏแล้วก็ดับไปทุกขณะ


    หมายเลข 8932
    22 ส.ค. 2567