เมื่อไหร่เป็นกรรม เป็นวิบาก
พระคุณเจ้า เจริญพร อาตมาก็อยากจะถามท่านอาจารย์สุจินต์ ถ้าเป็นอกุศลจิตเกิดขึ้น เจตนาที่เป็นกรรมก็ต้องมีกิเลสเกิดร่วมด้วยบ้าง บางประเภทอาจไม่เกิดถึง ๑๐ ประเภท เจตนาที่เป็นกรรมที่ทำอกุศลจิต เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลจิตนี้ กิเลสต่างๆ ที่เกิดขึ้นหมายถึงในขณะที่เป็นสัมปยุตตธรรมในขณะนั้นเลย หรือหมายถึงกิเลสต่างๆ ที่สะสมมาในอดีตด้วยที่เป็นปัจจัยให้ขณะที่เห็นแล้ว ก็เกิดการติดข้อง เช่น เป็นโลภมูลจิต เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจตนาก็เกิดขึ้นกระทำกรรมในการลักทรัพย์เป็นต้น กิเลสในขณะที่เกิดร่วมด้วยกับจิตในขณะนั้น เกิดจากการสะสมกิเลสในอดีตด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ เจริญพร
ท่านอาจารย์ ที่จริงเรื่องของกรรมเป็นเรื่องใหญ่ แล้วก็เป็นเรื่องที่ละเอียด เวลาที่พูดถึงเรื่องเจตสิก ก็จะมีเจตนาเจตสิก ซึ่งแม้แต่ข้อความในอรรถกถาทั้งหลายก็ได้แสดงไว้ละเอียด เพราะว่าบางทีเราผ่านข้อความเรื่องอกุศลกรรมบถ เราก็เข้าใจว่า ได้แก่ อกุศลเจตนาที่กระทำทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจ แล้วก็มีองค์ต่างๆ แต่ความจริงถ้ากล่าวละเอียดไปจนกระทั่งถึงปัจจัย และลักษณะของสภาพธรรมแต่ละชนิด จะเห็นได้ว่า มีสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเจตสิกซึ่งเป็นสภาพที่จงใจ ขวนขวาย กระตุ้นสหชาตธรรมให้เกิดขึ้นเป็นไป สภาพธรรมนั้น ภาษาบาลีใช้คำว่า “เจตนาเจตสิก” แล้วก็ยังจำแนกไปว่า เกิดกับจิตทุกดวง เพราะฉะนั้นก็เป็นทั้ง ๔ ชาติ คือ เจตนาที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี ที่เป็นวิบากก็มี ที่เป็นกิริยาก็มี แล้วยังแจกไปตามทวาร ว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ อกุศล ขอพูดเฉพาะอกุศล เพราะเหตุว่าเราจะพูดถึงเรื่องอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นอกุศลก็เกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร
เพราะฉะนั้นเจตนาเจตสิกซึ่งเกิดกับอกุศลจิต ทางตา รูปยังไม่ดับไป เป็นกรรมหรือไม่เป็นกรรม ถ้าโดยปัจจัยแล้วต้องเป็น คือ เป็นสหชาตกรรมปัจจัย ไม่ใช่เป็น นานักขณิกกัมมปัจจัย ซึ่ง ๒ คำนี้ต้องอธิบายกันอีก เวลาพูดถึงเรื่องปัจจัย สหชาตปัจจัยหมายความว่า สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยเกิดร่วมกับปัจจยุบัน หมายความว่าเกิดพร้อมกันนั่นเอง สหชาตะ ก็เกิดพร้อมกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเจตนาเจตสิกเกิดกับจิต และเจตสิกอื่นๆ พร้อมกัน ขณะนั้นก็เป็นปัจจัยโดยเป็น สหชาตปัจจัย จึงชื่อว่า สหชาตะ
พระคุณเจ้า เจตนาที่เกิดกับจิต และเจตสิกอื่นๆ ทุกดวง เจตนานั้นหมายถึง
ท่านอาจารย์ สหชาตกัมมปัจจัย
พระคุณเจ้า สหชาตกัมมปัจจัย ซึ่งเจตนานั้นเป็นตัวจงใจกระทำพร้อมกับ สัมปยุตตธรรม
ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ ซึ่งเกิดทั้ง ๖ ทวาร ในขณะนี้ตามปกติ ถ้าเป็นอกุศล ทางตาที่เห็นแล้วชอบสิ่งที่ปรากฏ ทันทีที่กระทบเสียง ก็เกิดชอบหรือไม่ชอบในเสียงที่ปรากฏ ขณะนั้นก็ต้องมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นกรรม โดยเป็นสหชาตกรรมปัจจัย แล้วก็เป็นทางมโนทวารด้วย เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่า มโนกรรม
นี่แสดงให้เห็นว่า ที่เราเคยได้ยินเรื่องของมโนกรรมทางอกุศลกรรมบถ ๑๐ กล่าวถึงทุจริตกรรมเท่านั้น ไม่ได้หมายรวมถึงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งความจริงแล้วต้องรวม เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นมโนกรรม
พระคุณเจ้า เพราะฉะนั้นเจตนาที่ยังไม่เป็นปัจจัยให้มีการเคลื่อนไหวทางกาย และวาจา จึงจัดเป็นมโนกรรม
ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ แต่ไม่ใช่มโนกรรมในอกุศลกรรมบถ
นี่ก็เป็นเรื่องที่ค่อยๆ ศึกษาไป แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากมาย เพราะว่าเป็นเรื่องของภาษา เป็นเรื่องของพยัญชนะ แต่สิ่งที่ควรจะทราบว่า ก็คือว่าขณะใดเป็นอกุศลจิต ไม่ต้องไปคิดถึงว่า ระดับไหนแล้ว ครบองค์หรือยัง แล้วก็เดือดร้อนวุ่นวาย กรรมนี้จะหนักแค่ไหนหรืออะไร นั่นก็เป็นเรื่องของความคิดนึก แต่ผู้ที่เห็นโทษของอกุศลจริงๆ แม้เล็กน้อย ก็ควรเห็น คือ ยังไม่ต้องปล่อยให้ถึงกับเป็นทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ เพียงเป็นผู้ที่มีสติแล้วก็ลักษณะของอกุศลกรรมจิต ก็จะทำให้เห็นโทษแม้อกุศลจิตเพียงเล็กน้อยได้ แต่ก่อนอื่นก่อนที่จะเห็นอย่างนี้ ต้องรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมก่อน
เพราะฉะนั้นการฟัง การศึกษา การอบรมเจริญปัญญา ต้องตามลำดับขั้นจริงๆ ถ้าเป็นเรื่องที่เราศึกษาทางตำรามาก แต่ว่าขณะที่กำลังเห็นอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นสภาพของนามธรรมหรือรูปธรรม ขณะนั้นก็ต้องตั้งต้นกันใหม่
พระคุณเจ้า กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก โดยมีการแสดงของการสั่งสมสันดานของตนก็ดี จะต้องหมายถึงกรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดวิบากเท่านั้นหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ที่เป็นอกุศลกรรมบถ แล้วถ้าครบองค์ ก็สามารถจะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด ถ้าไม่ครบองค์ ไม่เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด แต่ให้ผลในปวัตติกาล ปวัตติกาลคือหลังปฏิสนธิ เพราะฉะนั้นคนเราเกิดมาด้วยผลของกุศลที่ทำให้เป็นมนุษย์ แต่หลังจากเกิดมาแล้ว สุข ทุกข์ ต่างกันมาก แล้วแต่อกุศลกรรมให้ผล หรือกุศลกรรมให้ผล เคยสบายมานานแล้วก็ป่วยไข้ได้เจ็บ ก็เป็นเพราะอกุศลกรรมที่ถึงกาลที่จะให้ผล เพราะฉะนั้นก็หนีไม่พ้นกรรม
พระคุณเจ้า ถ้าเกิดว่า ไม่ถึงกับล่วงกรรมบถ หรือว่าเป็นเพียงแค่ทุจริตกรรม เช่น ยินดีพอใจในรสอาหารต่างๆ ซึ่งเป็นโลภมูลจิตที่มีเจตนาร่วมด้วย ไม่ทราบว่าเจตนานั้นจะมุ่งหมายเอานัยกรรมเป็นปัจจัยด้วยไหม ไม่ทราบ เจริญพร
ท่านอาจารย์ เป็นปัจจัยโดยปัจจัยอื่น คือ อุปนิสสยปัจจัย ไม่ใช่โดยกรรมปัจจัย ถ้าโดยกรรมปัจจัยแล้ว ต้องถึงขั้นทุจริตกรรม แต่ถ้าไม่ถึงขั้นทุจริตกรรม แล้วก็สั่งสมโดยเป็นปกตูปนิสสยปัจจัย
พระคุณเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าไม่ถึงกับเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก แต่เป็นการสั่งสมได้ ถ้าภายหลังมีการติดมากขึ้น ยินดีพอใจมากขึ้น อาจจะทำให้ล่วงอกุศลกรรมบถ เช่นมีการลักขโมยเป็นต้นก็ได้
ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ กำลังเห็นเป็นกรรมหรือเป็นวิบาก
ผู้ฟัง เป็นวิบาก
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง เป็นผลของกรรม
ท่านอาจารย์ ขณะเห็นไม่ได้ทำกรรมอะไรเลย ไม่ได้ทำทุจริตกรรมใดๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องเห็น หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย นี่เป็นสิ่งซึ่งใครก็สร้างจิตสักขณะเดียวไม่ได้ ให้เห็นธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้ วิญญาณธาตุ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง อาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น เหมือนไฟซึ่งมีเหตุปัจจัยเมื่อไร ไฟก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นธาตุชนิดนี้เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะเป็นจักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณก็เกิดขึ้นเห็น เมื่อมีปัจจัยพร้อมที่จะเป็นโสตวิญญาณ จะเป็นโสตวิญญาณ ไม่ใช่มีโสตวิญญาณอยู่แล้ว แต่ว่ามีปัจจัยพร้อมที่จะเป็นโสตวิญญาณเกิดขึ้น โสตวิญญาณก็เกิดขึ้นได้ยิน ชั่วขณะหนึ่งๆ
เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่ใช่กรรม แต่ว่าเป็นผลของกรรม แต่ว่าหลังจากนั้นเมื่อกิเลสมี ก็ยังคงเป็นโลภะบ้าง โทสะบ้าง กุศลบ้างก็แล้วแต่ เป็นเหตุที่ว่าให้เกิดกุศลกรรม และอกุศลกรรม เพราะเหตุว่ายังมีกิเลสอยู่
ผู้ฟัง ตอนเป็นวิบากปัจจัยก็หมายความว่า เมื่อจิตกับเจตสิกเกิดร่วมกันแล้ว ต่างก็เป็นปัจจัยซึ่งกัน และกัน อันนั้นเรียกว่าวิบากปัจจัย
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าจะต้องเกิดร่วมกัน กุศลจิตจะไปเกิดกับวิบากจิตก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นกุศลเจตสิกเกิดกับวิบากจิตไม่ได้ ต้องเป็นวิบากเจตสิกซึ่งเกิดกับวิบากจิต