เบิกบานในธรรม


    ท่านอาจารย์ กำลังฟังพระธรรมเวลานี้ ใครเบิกบานบ้าง เพราะฉะนั้น ขาดปัญญาได้ไหม ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง เราอ่านพระสูตรนี้ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่จบข้อความโดยละเอียดที่จะต้องเข้าใจขึ้น ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น เบิกบานตอนไหน

    อ.อรรณพ ตอนที่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าสามารถเข้าใจว่า แต่ละคน อุปมาเหมือนท่อนไม้ที่ไปทางซ้าย ทางขวา ไปเกาะอยู่ ติดอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ ถ้าไม่เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร เดี๋ยวนี้ ท่อนไม้อยู่ที่ไหน แล้วฝั่งโน้น แล้วฝั่งนี้คืออะไร ถ้าอ่านไปเฉยๆ ก็ไม่รู้ว่า คืออะไร จะเกิดความปีติไหม แต่ถ้ารู้ว่า ตัวเองทุกคนเป็นอย่างนี้หรือเปล่า มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ มีสิ่งที่ปรากฏทั้งวันทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง แล้วเป็นอย่างนี้หรือเปล่า คือสามารถเข้าใจความจริงที่มี ไม่ใช่ฟังเรื่องราว แล้วอยากเข้าใจเรื่องราว ขณะนั้นก็จะรู้ได้ว่า มีประโยชน์ไหมที่เราจะสามารถเข้าถึงความจริงว่า แท้ที่จริงชีวิตวันหนึ่งๆ ก็เป็นเพียงชั่วขณะซึ่งเกิดแล้วก็ดับไปอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ และขณะที่เกิดก็ติดแล้ว ไม่สิ่งนั้นก็สิ่งนี้ ไม่ภายในก็ภายนอก แสดงให้เห็นความจริงว่า กว่าจะได้เข้าใจพระธรรม กว่าจะสามารถเห็นว่ามีประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า ในการที่จะเกิดมาเห็นแล้วติดข้อง ได้ยินติดข้อง ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี ทั้งชาติ กี่กัปก็เป็นอย่างนี้ ถ้าสามารถเข้าใจ ขณะนั้นก็จะรู้ได้ว่า ดีใจไหมที่ได้เข้าใจ หรือก็งั้นแหละ ธรรมดาๆ หรือปลาบปลื้มที่มีโอกาสแม้ได้ยินคำที่เป็นคำจริง แล้วสามารถให้รู้ความจริงของชีวิตว่า ไม่มีเราจริงๆ มีแต่สภาพธรรมที่เป็นภายใน และภายนอก ซึ่งก็เป็นธาตุรู้กับสิ่งที่ปรากฏให้รู้

    นี่คือขณะที่ฟัง ถ้าใครเข้าใจจริงๆ ว่า มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจแม้เพียงเท่านี้ก็เกิดปีติว่า เกิดมาแล้วมีโอกาสได้ฟัง และก็สะสมไป เกิดอีก มีโอกาสได้ฟังอีก เหมือนกับชาติก่อนๆ ก็เคยได้ฟังมาแล้ว และชาตินี้ก็มีโอกาสได้ยินได้ฟังอีก ซึ่งโอกาสนี้หายากไหมคะ ขณะที่จะได้ฟังพระธรรม และเข้าใจด้วย ไม่ใช่แต่เพียงผ่านไปเผินๆ แต่สามารถเป็นขณะที่เข้าใจขึ้นๆ ในสภาพธรรม ความปีติย่อมเกิด แต่ว่าถ้าขณะใดที่กำลังรู้ลักษณะที่เป็นธรรม ด้วยความเข้าใจว่า ขณะนั้นไม่ใช่ใครเลย ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น เช่น แข็งที่กำลังปรากฏ จะเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากแข็งชั่วคราวที่ปรากฏ แล้วก็หมดไป แข็งก็ไม่ได้ยั่งยืน ให้เป็นแข็งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้อย่างอื่นเลย ก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่สภาพนั้นก็มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปชั่วขณะ ถ้าสามารถเข้าใจถึงความเป็นธรรมที่เกิด และขณะนั้นก็เป็นธรรมจริงๆ ไม่ใช่นิ้ว ไม่ใช่เท้า ไม่ใช่แขน ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่อะไรเลย แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้รู้ความจริงว่า ความจริงสิ่งนี้มีจริงๆ ขณะนั้นสงบจากการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ขณะที่กำลังฟัง ปีติที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น ปีติเกิดร่วมกับความสุขเวทนา ปีติ และสุขที่ได้ฟัง แต่เวลาที่กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ สุข และสงบจากความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้อ่านพระไตรปิฎกด้วยตัวเอง เมื่อเข้าใจธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ก็จะได้สิ่งที่ไม่ได้นำมากล่าวทั้งหมด เพราะว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกล่าวถึงพระไตรปิฎกทั้งหมดได้ เพราะเทียบปัญญาของคนในยุคนี้ และปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ห่างไกลกันแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น เพียงแต่มีโอกาสได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้เข้าใจ ได้รู้ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะนั้นก็ปีติ และสุขที่มีโอกาสได้เข้าใจ แต่ว่ายังไม่ถึงการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่จะทำให้สงบจากความไม่รู้ และความติดข้อง


    หมายเลข 8934
    19 ก.พ. 2567