ต้องเข้าถึงลักษณะที่พูด
ผู้ฟัง เราจะพิจารณาสภาพของจิตว่า ที่เกิดขึ้นทางตาอย่างเดียวไม่ได้ หมายความว่าต้องทางอื่นด้วย รวมทั้งทางใจด้วย หรือว่าต้องเพ่งเฉพาะทางตาอย่างเดียว
ท่านอาจารย์ อันนี้เป็นเรื่องอัตตาตัวตนที่จะเลือก ถ้าพูดในลักษณะนี้ เป็นเรื่องอัตตาตัวตน ไม่ใช่เรื่องอนัตตา ไม่ใช่เรื่องเข้าใจว่า ไม่มีเรา ไม่มีใครที่จะทำหน้าที่อะไรได้เลย สติเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นระลึกได้ และในมรรคมีองค์ ๘ ก็จะต้องมี ๕ องค์ซึ่งเกิดขึ้น เวลาที่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม คือ มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราจะเลือก หรือว่าจะดูทางหนึ่งทางใด แล้วแต่สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งที่กำลังปรากฏ ทางตาที่กำลังเห็นเป็นสภาพธรรม ฟังมาเพื่อสติจะได้ระลึกรู้ได้ว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมที่ปรากฏทางตานั้นอย่างหนึ่ง แล้วมีสภาพรู้ที่กำลังเห็นนั้นอย่างหนึ่ง แล้วก็ทางหูก็เหมือนกันมีเสียง ขณะนี้ก็มีเสียง เป็นสภาพธรรม แล้วก็มีนามธรรมคือสภาพที่รู้เสียง ได้ยินเสียง ศึกษาเรื่องธรรมทั้งหมด ก็เพื่อที่จะให้รู้ความจริงในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึก ทั้งหมดที่เรียนเพื่อรู้ความจริงของโลก ๖ โลก ๖ ทาง ซึ่งไม่ใช่เราจะเลือก หรือว่าเราจะทำ แล้วแต่ว่าสติเกิดหรือสติไม่เกิด ถ้าสติไม่เกิดก็หลงลืมสติ สติเกิดสติก็ระลึก ไม่ใช่เราจะเลือกระลึกที่โน้นที่นี่
เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่าขณะใดสติเกิด ขณะใดหลงลืมสติ ถ้าไม่เข้าใจ สติก็เจริญไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีความเห็นที่ถูกต้องว่า ขณะนั้นเป็นสติ ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าการที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน ต้องละลักษณะที่ปรากฏในชีวิตประจำวันทั้งหมดที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา
เพราะฉะนั้นจึงเป็นความละเอียด ไม่ว่าจะเห็น ไม่ว่าจะได้ยิน ไม่ว่าจะได้กลิ่น ไม่ว่าจะลิ้มรส ไม่ว่าจะกระทบสัมผัส ไม่ว่าจะคิดนึก เป็นชีวิตปกติธรรมดาจริงๆ เดี๋ยวนี้ และทุกขณะ ไม่ต้องทำอะไรเลย มีสภาพธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้ว เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่สภาพสติจะเกิดหรือไม่เกิด
ผู้ฟัง หมายความว่า ต้องเข้าใจเรื่องสติว่า
ท่านอาจารย์ ลักษณะขณะที่สติเกิด สติระลึกลักษณะของสภาพธรรม นี่คือจุดเริ่มต้น ถ้าไม่รู้ลักษณะว่า เป็นสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นสติก็เจริญไม่ได้
ผู้ฟัง ลักษณะของสติเป็นเรื่องที่มาเกี่ยวข้องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ลักษณะอย่างนี้จะเกี่ยวข้องอย่างไร
ท่านอาจารย์ สติในขณะที่ฟังต้องมี แล้วก็เข้าใจด้วยว่า ขณะนี้ที่กำลังปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง นี่ต้องมีสติที่จะฟังให้เข้าใจขั้นนี้ก่อน แต่ก่อนนี้เห็นคน เห็นสัตว์ เห็นวัตถุสิ่งต่างๆ นั่นคือก่อนที่สติจะเกิด ก่อนที่จะเข้าใจเรื่องสภาพธรรม แต่เมื่อฟังแล้ว ทางตาก็ต้องเป็นธรรมไปหมด ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ยังไม่เคยเข้าถึงลักษณะของธรรมที่พูด ซึ่งทุกคนก็อาจจะพูดตามๆ กันว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ล้อมรอบตัวเป็นธรรม แม้แต่ในตัวก็เป็นธรรม ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่ธรรม ก็พูดตามไปอย่างนี้ ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ก็พูดอย่างนี้ทั้งนั้น
ท่านอาจารย์ แต่ก่อนเห็นคน เห็นสัตว์ เห็นวัตถุสิ่งต่างๆ นั่นคือก่อนที่สติจะเกิด ก่อนที่จะเข้าใจเรื่องสภาพธรรม แต่เมื่อฟังแล้ว ทางตาก็ต้องเป็นธรรมไปหมด ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ยังไม่เคยเข้าถึงลักษณะของธรรมที่พูด ซึ่งทุกคนก็อาจจะพูดตามๆ กันว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ล้อมรอบตัวเป็นธรรม แม้แต่ในตัวก็เป็นธรรม ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่ธรรม ก็พูดตามไปอย่างนี้ ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ก็พูดอย่างนี้ทั้งนั้น
ท่านอาจารย์ แปลว่ายังไม่เข้าถึงลักษณะของธรรมในขั้นเข้าใจ ต้องเริ่มตั้งแต่ว่า ถ้ากล่าวคำว่าธรรม ก็ต้องเข้าใจธรรมจริงๆ ว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุสิ่งต่างๆ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และทรงสภาพของสิ่งนั้น เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏทางหู ไม่ปรากฏทางจมูก แต่ทำไมกำลังปรากฏทางตาขณะนี้ เพราะเหตุว่ามีเห็น มีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นสภาพเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าตาบอดหรือว่าจิตเห็นไม่เกิด กำลังนอนหลับ สีสันวัณณะขณะนี้ก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อมีขณะนี้ที่กำลังเห็นเกิดขึ้น ก็เป็นของจริง ซึ่งไม่ใช่ตัวตน แต่ก็ไม่เคยระลึกได้ นี่คือหลงลืมสติ แต่ถ้าสติเกิด ต้องหมายความว่า มีการฟังจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ เรื่องธรรม แล้วก็รู้ด้วยว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่นั่นเป็นขั้นฟัง เพราะฉะนั้นขั้นที่จะไม่ใช่ขั้นฟัง ก็คือว่าขณะใดที่สัมมาสติเกิด แล้วก็ระลึกลักษณะที่เป็นสภาพธรรม