เมื่อไหร่สังคมไทยจะอยู่เป็นสุข


    ผู้ฟัง ดิฉันใคร่ขอสนทนาเกี่ยวกับสามัญลักษณะของจิตก่อน ซึ่งก็ได้แก่ ไตรลักษณะ คือลักษณะทั้ง ๓ ซึ่งกล่าวไปเมื่อครู่นี้ เมื่อพูดถึงลักษณะทั้ง ๓ อนิจจลักษณะ ก็เคยได้ยินได้ฟังมาบ่อยๆ นานแล้วว่า พูดในทำนองว่า อย่างเช่นว่าเห็น ดอกไม้ที่สวยๆ อยู่ได้ไม่กี่วันก็ต้องเหี่ยวเฉาไป หรือว่าเสื้อผ้าที่สวยๆ งามๆ ที่สวมใส่ไปไม่นานก็จืดชืด เก่าแล้วก็ขาดไป นี่แหละเป็นเพราะมันเป็นอนิจจัง ส่วนทุกขลักษณะก็มักจะได้ยินพูดบ่อยๆ อยู่เหมือนกันในทำนองว่า ความเจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บปวดอะไรต่างๆ นานาเป็นทุกข์ ความไม่สบายใจก็เป็นทุกข์ ลำบากเดือดร้อนก็เป็นทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ส่วนอนัตตลักษณะก็ได้ยินมาในทำนองที่ว่า ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย อันนี้ก็เป็นสิ่งได้ยินมาเสมอๆ ถ้าความเข้าใจลักษณะทั้ง ๓ เป็นอย่างนี้ ท่านผู้ร่วมสนทนาท่านใดจะมีข้อคิดเห็นประการใด เกี่ยวกับลักษณะทั้ง ๓ นี้อย่างไรบ้างไหมคะ ถ้ามีขอเชิญแสดงความคิดเห็นก่อนนะคะ

    ผู้ฟัง ผมชื่อเสถียร ลำสมุทรครับ สนใจเรื่องพระธรรม ก็ฟังอยู่บ่อยๆ ผมอยากถามว่าเมื่อไรสังคมไทยจะอยู่เย็นเป็นสุขเสียที มีการประท้วงอะไรๆ เยอะแยะ แสดงว่าผลงานของท่านทั้งหลายไม่ซึมซาบเข้าไปในจิตใจของคนไทยทั่วประเทศ อันนี้อันหนึ่งครับ ขอบคุณมากครับ

    ท่านอาจารย์ หวังที่จะให้โลกเป็นสุข แต่ต้องรู้จักว่า เหตุที่โลกไม่เป็นสุข เพราะอะไร แม้แต่ตัวคนที่กำลังเป็นทุกข์เอง เพราะว่าโลกกำลังเดือดร้อน เห็นไหมคะว่า เราเปลี่ยนโลกส่วนใหญ่ เปลี่ยนโลกส่วนรวมไม่ได้ แต่จิตของคนที่กำลังเห็นว่า โลกเป็นทุกข์ หรือว่าโลกเดือดร้อน กำลังเห็นว่ามีความไม่สงบตรงนั้น มีการเดินขบวนตรงนี้ จิตของคน ที่กำลังเห็นอย่างนั้น คิดอย่างนั้น กำลังเดือดร้อนหรือเปล่า

    นี่แสดงว่าให้เห็นว่า ทั้งหมดทุกคนจะต้องกลับมาสนใจที่จิตของตนเอง ถ้าเป็นจิตที่ไม่เดือดร้อน เพราะเหตุว่ามีความรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะไปจัดการเปลี่ยนแปลงความคิดความเห็นของคนได้ แต่ว่าขณะใดก็ตามที่เราคิดถึงคนอื่นคิดด้วยความสงบของจิต คิดด้วยเมตตา คิดด้วยความรู้เท่าตามความเป็นจริงว่า นี่คือโลก แล้วโลกต้องเป็นอย่างนี้ เพราะเป็นโลกที่ยังมีกิเลส

    เพราะฉะนั้นถึงแม้โลกจะเดือดร้อนเป็นไฟ แต่ว่าคนที่มีสติปัญญายังสามารถที่จะมองโลกหรือว่าเห็นโลกหรือว่าความไม่สงบต่างๆ ด้วยจิตที่สงบได้ แต่ว่าจะไปแก้อกุศลจิตรึกิเลสของคนอื่นนั้นไม่มีทางเลย นอกจากช่วยกันให้เขาเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า โลกจริงๆ ก็อยู่ที่จิตของแต่ละคน ที่จะต้องรักษาโลกนั้นให้สงบ แล้วก็ไม่ว่าโลกข้างนอก โลกอื่นจะไม่สงบอย่างไรก็ตาม เมื่อโลกนี้คือโลกภายในของแต่ละคนสงบแล้ว ก็จะทำให้แต่ละโลกสงบขึ้น


    หมายเลข 8957
    22 ส.ค. 2567