อืริยาบทปิดบังทุกข์


    พระคุณเจ้า เจริญพร ขอเรียนถามอาจารย์สุจินต์เรื่องทุกขลักษณะ คือ อิริยาบถปิดบังทุกข์ อันนี้หมายถึงว่า การเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ นั้นทำให้ไม่เห็นทุกข์ แล้วก็ถ้าหากว่าจะให้เห็นทุกข์ต้องนั่งเฉยๆ หรืออย่างไรไม่ทราบ ช่วยอธิบายด้วย

    ท่านอาจารย์ อันนี้ต้องทราบว่า ไตรลักษณะไม่แยกกันเลย หมายความว่าสภาพธรรมใดที่เกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นดับไป เพราะฉะนั้นลักษณะสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับนั่นเอง เป็นทุกขลักษณะ เพราะเหตุว่าไม่ใช่สภาพธรรมที่น่ายินดี หรือน่าเพลิดเพลิน เพราะเหตุว่าทุกข์ที่นี้ต้องตรงกันข้ามกับสุข ทุกคนต้องการสุข เพราะติดสุข เห็นว่าเป็นสิ่งที่ยั่งยืนเพราะเหตุว่าไม่ประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไป ต่อเมื่อใดที่ได้ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป เมื่อนั้นจะเห็นได้ว่า แม้สุขก็แสนที่จะสั้น สั้นนิดเดียว คือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าไตรลักษณะนี้เป็นสังขตธรรม หรือสังขตธรรมซึ่งเกิดแล้วดับจึงเป็นทุกข์ ที่ว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์ ต้องเข้าใจว่า เมื่อไตรลักษณะมี ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาพที่ปิดบังไม่ให้เห็นไตรลักษณะ ก็คือสันตติ การเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของสภาพธรรมปิดบังไม่ให้เห็นการเกิดขึ้น และดับไป อิริยาบถปิดบังทุกข์ เพราะเหตุว่าการประชุมรวมกันของรูปทำให้เห็นว่า เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงไม่ประจักษ์การเกิดดับ ตราบใดที่ยังเห็นสิ่งใดที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีทางที่จะดับได้เลย เพราะเหตุว่าแท้ที่จริงแล้วรูปแต่ละรูปเกิดอย่างเร็ว ปรากฏอย่างเร็ว แล้วก็ดับอย่างเร็วแต่ละทางหรือว่าแต่ละทวาร เช่น รูปทางตากระทบจักขุปสาทแล้วดับ ไม่ใช่ไม่ดับ เสียงที่กระทบกับโสตปสาทแล้วดับ ไม่ใช่ไม่ดับ

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏสั้นแล้วก็ดับ ลักษณะที่เกิดดับแต่ละอย่างแต่ละทาง เมื่อประจักษ์ว่า ไม่ใช่สภาพธรรมที่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน จึงสามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปได้ ส่วนฆนสัญญาก็โดยนัยเดียวกัน คือการประชุมรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนนั่นเองปิดบังสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้นที่ว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์ แม้ในขณะที่ยังไม่ต้องเคลื่อนไหวอิริยาบถเลย สำหรับสิ่งที่มีชีวิต เมื่อเกิดมาแล้ว ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องมีรูปขันธ์ด้วย ไม่ใช่มีแต่นามธรรม เพราะฉะนั้นรูปแต่ละรูปทยอยกันเกิดขึ้น แล้วทยอยกันดับไปอย่างเร็วมาก ขณะที่เห็นแล้วก็มีจิตที่รู้สีทางตาหลายขณะวาระหนึ่งเกิดขึ้นติดต่อกัน แล้วก็ดับไป มีภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตสืบต่อ แล้วก็มีการรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็มีการได้ยินเสียงที่กระทบทางหู มีภวังคจิตเกิดคั่น แล้วมโนทวารวิถีจิตซึ่งรู้เสียงต่อ แล้วก็มีการรู้ความหมายของเสียง แต่ละวาระในขณะนี้เร็วมาก แต่ปรากฏเสมือนว่า ทุกคนในขณะนี้ ทั้งเห็นทั้งได้ยิน แล้วรูปก็มีอายุเพียงแค่จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นเห็นความสั้นของรูปๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นว่า สั้นกว่าที่เราคิดสักแค่ไหน คือขณะที่ทางตาที่เห็นกับทางหูที่ได้ยิน ห่างไกลกันเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปๆ หนึ่งที่เกิดต้องดับแล้ว

    เพราะฉะนั้นรูปใดก็ตามที่ไม่ปรากฏในขณะนี้ กล่าวได้เลยว่ารูปนั้นเกิดแล้วดับแล้วทั้งหมด เพราะฉะนั้นการที่จะประจักษ์สภาพธรรม โดยที่ไม่มีอิริยาบถปิดบัง คือเพิกอิริยาบถก็ต่อเมื่อสติระลึกลักษณะของรูปที่ปรากฏแต่ละลักษณะ แล้วก็แต่ละทาง แล้ววิธีพิสูจน์ธรรมไม่ยากเลย เพราะเหตุว่าธรรมเป็นของจริงทุกขณะ เช่น ในขณะนี้ที่ทุกคนกำลังนั่งอยู่ มีอะไรที่เป็นรูปปรากฏ ไม่ใช่เรานึกว่ามีรูปของเราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า นั่นเป็นอัตตสัญญา หมายความถึงความทรงจำว่า มีรูปร่าง มีตัวตน มีมือ มีแขน มีเท้า แต่เวลานี้ที่กำลังเห็น มืออยู่ที่ไหน เท้าอยู่ที่ไหน ปรากฏหรือเปล่า ถ้ามีสิ่งที่ปรากฏ คือ ลักษณะที่แข็งที่ปรากฏส่วนหนึ่งส่วนใดที่กระทบ ขณะนั้นไม่ได้มีศีรษะ ไม่ได้มีฟัน ไม่ได้มีผม ไม่ได้มีตับ ไม่ได้มีปอด ไม่ได้มีอะไรปรากฏเลย มีแต่เพียงลักษณะที่อ่อนหรือแข็งปรากฏส่วน๑ส่วนใดของกายที่กระทบ

    นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า สำหรับรูปที่ปรากฏทางกายก็จะต้องเป็นลักษณะที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวในขณะนี้ ซึ่งทุกคนพิสูจน์ได้ว่า ไม่มีรูปที่เป็นอิริยาบถ มีแต่ความทรงจำว่ายังมีรูปอยู่ แต่ว่าไม่มีรูปปรากฏเลย

    เพราะฉะนั้นไม่สามารถที่จะไปประจักษ์ การเกิดดับของสิ่งที่ไม่ปรากฏ แต่ขณะที่แข็งปรากฏ แล้วก็มีการรู้ในลักษณะของสภาพที่แข็ง แล้วก็รู้ว่าลักษณะที่แข็งเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง แล้วขณะที่กำลังรู้แข็งก็เป็นแต่เพียงธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่เรา ค่อยๆ รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมทั้ง ๖ ทางไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ชัดจริงๆ เมื่อนั้นก็จะประจักษ์ได้ว่า ไม่มีตัวตน แม้แต่นามรูปปริจเฉทญาณก็ไม่มีท่าทาง ไม่มีโลกใดๆ รวมอยู่ในลักษณะของรูปที่กำลังปรากฏทางทวารนั้น ที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าต้องมีการเคลื่อนไหว แล้วถึงจะไปเป็นอิริยาบถปิดบังทุกข์ แม้แต่ขณะใดก็ตามที่รูปไม่ปรากฏ แล้วทรงจำไว้ว่ามีรูป นั่นก็คืออัตตสัญญา

    ไม่ทราบว่าพระคุณเจ้าหรือท่านผู้อื่นมีสงสัยในเรื่องนี้ไหมคะ พิสูจน์ได้เลย ขณะนี้อะไรกำลังปรากฏ ปรากฏที่กาย ไม่ต้องไปจำ เพราะเหตุว่ามีลักษณะจริงๆ ปรากฏ ไม่ใช่นึกคิดว่ามี แต่ว่าลักษณะนั้นใครก็สร้างไม่ได้ อย่างแข็งไม่มีใครสามารถจะสร้างได้เลย ทำแข็งขึ้นมาก็ทำไม่ได้ มีแข็ง มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก เพราะเหตุว่ามีปัจจัยให้เกิดสภาพธรรมต่างๆ เหล่านี้ สติระลึกเมื่อไร ก็ค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรมว่า เป็นจริงอย่างนั้นตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แต่ส่วนใหญ่แล้วทั้งๆ ที่สภาพธรรมปรากฏ แต่ถ้าการฟังไม่มากพอ สัญญาความจำในเรื่องลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมไม่มากพอ ก็มักจะคิดนึกเรื่องสภาพธรรม แทนที่สติจะระลึกตรงลักษณะที่เป็นสภาพธรรมจริงๆ จนกว่าจะค่อยๆ ชำนาญขึ้น


    หมายเลข 8958
    22 ส.ค. 2567