เพื่อให้เข้าใจตัวจริงของจิต
ผู้ฟัง กระผมคิดว่าจุดมุ่งหมายของเราก็มีอยู่ตรงนี้ ให้รู้สภาวะการเกิด แล้วก็การดับ ทีนี้จิตมันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเดียว เมื่อจิตเกิด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ปัญหาว่าทำอย่างไรปัญญาจะแยกได้ว่า นี่จิต นี่เจตสิก ส่วนรูปนั้นแน่นอนเพราะว่าจิตเจตสิกจะเกิดขึ้นเฉยๆ โดยไม่อาศัยรูปไม่ได้ ต้องเกิดพร้อมกัน
ท่านอาจารย์ ที่จริงคำถามที่พูดถึงขณะนี้ เรื่องของชาติ ก็เพื่อที่จะให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ เพราะเหตุว่าชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง แล้ววันนี้ขณะนี้เองก็ผ่านไปหลายขณะ โดยไม่รู้ว่า เป็นจิตชาติอะไร เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็เพื่อที่จะรู้จักสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แล้วก็เคยยึดถือว่าเป็นเรา ซึ่งความจริงแล้วเป็นจิต เจตสิก รูป
เพราะฉะนั้นการที่เราเรียนจิตชาติต่างๆ เพื่อที่จะให้ทราบว่า แม้ขณะนี้เองมีจิตประเภทใดบ้าง เพราะว่าเราเรียนเรื่องจิตจริง แต่ว่าเรียนเพียงเรื่องของจิต ไม่ใช่ระลึกรู้ลักษณะของจิตที่กำลังเป็นจิตในขณะนี้
เพราะฉะนั้นการจะเรียนเรื่องชาติก็ดี หรือการจะเรียนเรื่องลักษณะของจิตก็ดี เพื่อให้รู้จักตัวจริงของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมที่กำลังเกิดขึ้นทำกิจการงานต่างๆ อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เราสามารถจะรู้เองได้ เช่น ขณะนี้ก็มีทั้งจิตที่เป็นวิบาก ซึ่งเป็นผลของกรรม แล้วก็มีจิตที่เป็นเหตุ เป็นกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง แล้วก็มีกิริยาจิตด้วย ซึ่งถ้าไม่ศึกษาแล้วก็ไม่มีทางที่เราจะทราบได้ หรือว่าถึงแม้ว่าได้ศึกษาแล้วก็ยังไม่ใช่การประจักษ์แจ้งว่า สภาพนั้นๆ เป็นแต่เพียงจิตประเภทต่างๆ แต่นี่เป็นบันไดขั้นที่จะ เกื้อกูลให้เราค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาที่จะเห็นจริงๆ ว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ที่เรียนเรื่องจิตประเภทต่างๆ ก็เพื่อที่จะให้ถึงลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนแล้วให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริงด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้เลยว่าอวิชชาอยู่ที่ไหน เราก็เพียงแต่บอกว่า มีอวิชชา ทุกคนเกิดมามีอวิชชา ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ ขณะเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน ที่เป็นจิตประเภทต่างๆ ต้องอาศัยการฟังให้เข้าใจก่อน แล้วก็ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับขั้น