ภูมิของจิต - ภูมิที่เกิดของสัตว์
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่า จิตโดดๆ นั้นมันไม่มีอะไร ไม่เดือดร้อน แต่พอมีความคิดเกิดขึ้น เห็นแล้วคิดเกิดขึ้น คิดในทางกามก็ได้ คิดในทางที่ไม่ใช่กามก็ได้ หมายถึงปัญญาแล้ว ถ้าพ้นจากกามที่เราอยู่นั้น กระผมอยากจะขอใคร่เรียนถามว่า เราพูดเรื่องจิต แต่จริงๆ แล้วเหตุมันไม่ใช่จิต ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ เรามีจิต แล้วเรายังไม่รู้จักจิต ทั้งๆ ที่พูดเรื่องจิต ในขณะนี้จิตก็กำลังทำงานเป็นจิตเห็น จิตได้ยิน จิตคิดนึกต่างๆ เพราะฉะนั้นการที่เราพูดเรื่องภูมิของจิต ก็จะได้ทราบว่า ไม่ใช่มีเพียงภูมิ คือ ระดับขั้นของจิตเท่าที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันเท่านั้น ยังมีจิตมากกว่านั้นอีก คือ จิตที่ระดับสูงกว่านี้ก็มี ที่ได้อบรมเจริญความสงบมั่นคงขึ้น จนกระทั่งถึงฌานจิต พ้นจากการที่จะรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กามารมณ์ทั้งหลาย จิตระดับนั้นเป็นรูปาวจรจิต หรือจะใช้คำว่ารูปภูมิก็ได้
เพราะฉะนั้นภูมิไม่ได้หมายความสิ่งที่เลื่อนลอย แต่หมายความว่าจิตที่กำลังมีในขณะนี้เป็นจิตระดับไหน เพราะฉะนั้นจึงจัดประเภทของจิต ๘๙ ประเภท เป็น ๔ ภูมิ ว่าที่เป็นกามาวจรจิตมี ๕๔ ประเภท หรือ ๕๔ ดวง ที่เป็นรูปาวจรจิตมี ๑๕ ดวงหรือ ๑๕ ประเภท ที่เป็นอรูปาวจรจิตมี ๑๒ ประเภท แล้วก็ที่เป็นโลกุตตรจิตมี ๘ ประเภท หรือ ๔๐ ประเภท เพื่อที่จะให้เราเข้าใจจิตในขณะนี้ แล้วจะได้รู้ว่า มีระดับของจิตที่สูงกว่าจิตที่เป็นกามาวจรจิตในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึกในขณะนี้
ผู้ฟัง คือกามวจรจิต ๕๔ รูปาวจรภูมิ ๑๕ อรูปาวจรจิตมี ๑๒ เป็นโลกุตตรจิตมี๘ หรือ ๔๐ พูดถึงระดับขั้นของจิต กามาวจรจิต ๕๔ ซึ่งประกอบด้วยอกุศลจิต ๑๒ ในอกุศลจิต ๑๒ ได้แก่ โลภะ ๘ โมหะ ๒ โทสะ ๒ แล้วก็มีอเหตุกจิต ๑๘ แล้วก็มีมหากุศล ๘ มหาวิบาก ๘ มหากิริยา ๘ เหล่านี้เรียกว่ากามาวจรจิต ๕๔ ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้สัตว์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภูมิ ๑๑ ภูมิ อันเป็นที่เกิดมนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ และอบายภูมิ ๔ เพราะมีอกุศลจิต ๑๒ อบายภูมิทั้ง ๔ จึงมี ภูมิอันเป็นที่เกิด
ผมคิดเปรียบเทียบเอาเอง เช่น มีคนทำผิดกฎหมาย เขาจึงสร้างคุกตะรางไว้ รองรับคนที่ทำผิด เหมือนกับว่ามีอกุศลจิต ๑๒ เป็นเหตุ แล้วก็มีอบายภูมิ ๔ เป็นภูมิอันเป็นที่อุบัติบังเกิดของสัตว์ที่กระทำอกุศลกรรม คือ มันต้องควบคู่กัน ระหว่างระดับจิตแล้วก็ผล คือ ภพภูมิที่จะไปบังเกิด ถ้าได้รูปฌานก็ต้องไปเกิดในรูปพรหม ๑๖ ถ้าได้อรูปฌานก็ไปเกิดในอรูปพรหม ๔ ถ้าได้โลกุตตรจิตก็มีนิพพานเป็นอารมณ์
ท่านอาจารย์ คือเมื่อพูดถึงระดับขั้นของจิตภูมิต่างๆ ก็จะต้องไปถึงว่า แล้วจิตเกิดที่ไหน เพราะว่าไม่ใช่มีแต่จิตโดยที่ไม่มีที่เกิด แต่หมายความว่าเมื่อพูดถึงจิตซึ่งเป็นระดับต่างๆ แล้วก็ต้องมีภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของจิตด้วย เช่น โลกมนุษย์ก็เป็นที่เกิดของกามาวจรจิต แต่ว่าถ้าใครสามารถที่จะอบรมเจริญกุศลที่สงบประณีตขึ้น มั่นคงขึ้น จนกระทั่งถึงรูปฌานขั้นต่างๆ แล้วเวลาที่ใกล้จะตาย ฌานนั้นไม่เสื่อมคือฌานจิตสามารถที่จะเกิดก่อนจุติจิตได้ ก็จะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิในรูปพรหมภูมิซึ่งสูงกว่ากามภูมิ ๑๑ ภูมิ สำหรับกามภูมิ ซึ่งกามาวจรจิตมี ๕๔ ประเภท นี่เรายังไม่ได้เรียนเรื่องละเอียด เพียงแต่เราจะจำแนกให้เห็นว่า จิตทุกขณะมีความซับซ้อนมาก คือ นอกจากจะจำแนกโดยชาติ แล้วก็ยังจำแนกโดยภูมิ ๒ ความหมาย คือ ระดับขั้นของจิตความหมายหนึ่ง แล้วก็ยังมีที่เกิดของจิตขั้นนั้นๆ ด้วย อย่าง รูปพรหมบุคคล ซึ่งได้ฌานแล้วก็ฌานไม่เสื่อม จะไม่เกิดในภูมินี้ จะไม่เกิดในสวรรค์ จะไม่เกิดในมนุษย์ แต่จะมีที่เกิดซึ่งเป็นรูปพรหมภูมิ ๑๖ ภูมิ
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าที่เกิดของจิต ซึ่งเป็นสถานที่ก็มี ตามระดับขั้นของจิตด้วย
ผู้ฟัง ที่เรานั่งอยู่นี่ ภูมิที่เป็นที่นั่งอยู่นี้ เป็นภูมินี้ภูมิเดียวหรือมีภูมิอื่น มีข้อคิดอย่างไร ท่านวิทยากรท่านจะได้ช่วยสรุปด้วย
อ.นิภัทร ภูมิจริงๆ จะมีได้ก็ต่อเมื่อตาย ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นกุศลจิต แม้แต่เป็นมนุษย์ก็สามารถที่จะเป็นรูปาวจรกุศลจิต อรูปาวจรกุศลจิต หรือโลกุตตรจิตทั้ง ๘ ได้
อ.นิภัทร สมมติว่าผู้ที่เจริญสมถกัมมัฏฐานจนได้สำเร็จเป็นรูปฌาน หรืออรูปฌานแล้ว ขณะที่จิตเป็นฌานกุศลจะเป็นรูปฌาน หรืออรูปฌานก็แล้วแต่ จิตในขณะนั้นหรือว่าชั้นของจิตในขณะนั้นเป็นรูปาวจรภูมิหรืออรูปวจรภูมิ
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าเป็นกุศล
อ.นิภัทร แต่ก็ยังอยู่ในมนุษย์นี่ อยู่ในโลกนี้ พูดง่ายๆ อยู่ในโลกนี้ เพราะว่าเป็นจิตขั้นกุศล จะไปอยู่ในอรูปพรหมภูมิ หรือรูปพรหมภูมิ จริงๆ ก็ต่อเมื่อ
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นรูปาวจรวิบากจิตทำกิจปฏิสนธิ
อ.นิภัทร ทำหน้าที่ปฏิสนธิเสียก่อน ถึงจะไปเกิดได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ฌาน หรือผู้ที่ท่านสำเร็จมรรคผลนิพพาน ชั้นของจิตของท่านก็เป็นกุศล แต่ว่าสำหรับผู้ที่สำเร็จมรรคผล ท่านยังไม่ตาย ท่านก็ได้วิบากแล้ว
ท่านอาจารย์ ถ้าจะให้ชัด คือ กามาวจรจิตก็มีทั้ง ๔ ชาติ คือ มีทั้งที่เป็นกุศล อกุศล วิบาก กิริยา สำหรับกามภูมิ หรือกามาวจรจิต สำหรับรูปาวจรจิตมี ๓ ชาติเท่านั้น คือไม่มีอกุศล อกุศลทั้งหลายไม่เป็นรูปาวจรจิตหรืออรูปาวจรภูมิ หรือโลกุตตรภูมิเลย อกุศลต้องเป็นกามภูมิอย่างเดียว ระดับขั้นต่ำสุด
จิตมี ๔ ชาติ คือ กุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ หรือถ้าจะเรียงใหม่ ก็เป็นอกุศลต่ำสุด แล้วก็กุศล แล้วก็วิบาก แล้วก็กิริยา สำหรับกามาวจรจิตมีจิตทั้ง ๔ ชาติ ที่เรากำลังนั่งอยู่นี่ มีจิตทั้ง ๔ ชาติ แต่ถ้าเป็นรูปาวจรภูมิ จิตอีกระดับหนึ่งจะมีเพียง ๓ ชาติ คือ ไม่มีอกุศล มีแต่รูปาวจรกุศล ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดรูปาวจรวิบากจิต สำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ใช่รูปาวจรกุศล เป็นรูปาวจรกิริยาจิต ซึ่งไม่เป็นเหตุให้เกิดในชั้นใดทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าถ้าเป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์แล้วดับกิเลสหมด ไม่มีเชื้อไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธิเลย
สำหรับอรูปาวจรจิตก็มี ๓ ชาติ อรูปาวจรกุศล อรูปาวจรวิบาก อรูปาวจรกิริยา ถ้าได้ยิน ๓ ชื่อนี้ก็ง่าย คือ กุศลเป็นเหตุ วิบากเป็นผล กิริยาไม่ใช่เหตุไม่ใช่ผล ก็เป็นจิตของพระอรหันต์ที่ท่านได้อรูปาวจรกิริยาจิต
เพราะฉะนั้นการศึกษาเรื่องจิต เพื่อที่จะให้เข้าใจจึงตั้งต้นด้วยชาติของจิต ๔ ชาติก่อน เมื่อเข้าใจเรื่องชาติของจิต ๔ ชาติแล้ว เราก็จะมาถึงระดับขั้นซึ่งเป็นภูมิของจิต ว่าแต่ละภูมิมีจิตกี่ชาติ สำหรับโลกุตตรจิตมีแต่กุศลจิต และวิบากจิต ไม่มีกิริยาจิตแล้วก็ไม่มีโลกุตตรภูมิ ซึ่งเป็นที่เกิดแบบมนุษย์ และสวรรค์ ที่เป็นโลกอย่างนี้ด้วย เพราะเหตุว่าทันทีที่โลกุตตรกุศลจิต คือ โสดาปัตติมรรคจิตดับ โลกุตตรวิบาก คือ โสดาปัตติผลเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย ได้รับผลทันที ไม่ต้องไปรอการเกิด เพราะเหตุว่าโลกุตตรกุศลไม่เป็นปัจจัยให้เกิด แต่เป็นปัจจัยของการดับภพชาติ นี่คือความต่างกันของภูมิ
อ.นิภัทร แล้วไม่มีภูมิต่างหากอีก
ท่านอาจารย์ ไม่มีค่ะ โดยระดับขั้นของจิตเป็นโลกุตตรภูมิ แต่ไม่มีที่เกิด ว่าจะเป็นผลให้เกิดที่ภูมินั้นภูมินี้ ถ้าพระโสดาบันเกิดในสวรรค์ เกิดโดยมหาวิบากจิต เป็นผลของมหากุศล หรือกามาวจรกุศลทำให้เกิดในสวรรค์ ถ้าพระโสดาบันบุคคลนั้นได้รูปฌานจิต การเกิดในรูปพรหมภูมิ เป็นโสดาบันบุคคลนั้น เกิดโดยรูปาวจรวิบากจิตซึ่งเป็นผลของรูปาวจรกุศลจิต
อันนี้ก็ต้องแยก แต่ไปช้าๆ ก็ได้ คือ ไม่ลืมเรื่องของชาติว่า จะต้องมาเกี่ยวกับเรื่องของภูมิด้วย