เพื่อถึงขั้นปฏิปัติสัทธรรม
ผู้ฟัง จะเรียนถามอาจารย์ว่า การศึกษาปริยัตินั้นที่พระพุทธองค์ท่านตรัสท่านตรัสจากญาณ พระองค์เห็นอย่างไร ท่านก็ตรัสอย่างนั้น แต่ในขณะเดียวกันผู้ศึกษานำไปตีความหมายในลักษณะที่คิดเป็นปริศนาธรรมว่า ท่านพูดนั้นหมายถึงอย่างไร โดยไม่พุ่งเป้าไปว่า เราจะทำความเห็นอย่างไรให้ปรากฏตามที่พระองค์ตรัส กระผมคิดว่า ๒ ทางนี้ เป็นจุดที่อยากจะขอเรียนถามความเห็นท่านอาจารย์สุจินต์ว่า ปริยัติ กับ ปฏิบัติ ความจริงไม่ต่างกันเลย ใช่ไหมครับ หรือต้องเป็นคนละทาง จะต้องไปนั่งปฏิบัติ แล้วก็ศึกษาปริยัติ หรือว่าไม่ต้องศึกษาปริยัติแล้วปฏิบัติเลย ซึ่งเป็นที่สับสนกันอยู่ในขณะนี้ ขอบพระคุณครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เริ่มจากการฟัง หรือการศึกษาจะเป็นการอ่านก็ได้ แต่ว่าเป็นเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะเดียวกันที่ฟังหรือจะอ่านก็ตามแต่ ให้พิจารณาให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ให้รู้ให้เข้าใจ ตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นพิจารณา จนถึงขั้นสติเกิดระลึกเพื่อที่จะศึกษาอีกระดับหนึ่ง คือ ศึกษาลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ นี่คือจุดประสงค์ เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรม แต่เกิดมาไม่รู้สภาพธรรมจนตาย แต่เมื่อมีสภาพธรรม แล้วมีโอกาสได้ยินได้ฟังเรื่องสภาพธรรม ซึ่งจะต้องเป็นปัญญาจึงจะสามารถรู้ได้ว่า นี่เป็นสภาพธรรม เพราะมิฉะนั้นแล้วก็คงจะมีความคิดเห็นว่า ไม่มีประโยชน์อะไร ก็เป็นตัวเรา ก็ไม่เดือดร้อนแล้ว แต่ว่าจากโลกนี้ไปก็ต้องเกิดอีก แล้วก็เต็มไปด้วยขณะจิตซึ่งสั้นมาก เกิดดับตลอดเวลาแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย ทุกชาติๆ ที่จะเป็นอย่างนี้ โดยไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสผู้ที่ได้มีบุญที่สะสมไว้แล้วก็ฟังสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้เข้าใจ เพื่อที่จะถึงขั้นต่อไป คือปฏิปัตติสัทธรรม