ให้หรือไม่ให้ดี
ผู้ฟัง คือที่จะถามก็เป็นปัญหาทั่วๆ ไป แต่ว่าสงสัยอยู่ คือ อย่างที่พูดว่า ถ้าใครพอใจในสิ่งใดก็จะเป็นอกุศล ถ้าชอบสิ่งใด ทีนี้ขณะที่เราจะให้ของใคร เราก็เลือกแต่ของที่ดีให้ ทีนี้ให้เขาแล้วเขาเกิดชอบ เขาเป็นอกุศล อย่างนี้เราก็ไม่ค่อยจะถูก
ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้จะให้อะไรใครก็เกรงกลัวเหลือเกินว่า เขาจะเกิดอกุศล แต่อย่าลืมว่าเราจะให้หรือไม่ให้ อกุศลของเขามีจะเกิดก็ย่อมเกิด ยับยั้งอกุศลของใครไม่ได้เลย แต่ว่าการให้ด้วยความคิดถึงบุคคลอื่นที่จะได้รับประโยชน์ ขณะนั้นเป็นกุศลจิต เพราะฉะนั้นเรื่องของการให้เป็นเรื่องที่เฉียดๆ คือว่าถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ให้เพราะต้องการอะไรหรือเปล่า นี่สำคัญมากให้เพราะต้องการความเป็นมิตรตอบแทน แม้เพียงความสนิทสนม ถ้าเพียงหวังแค่นี้ ไปแล้ว คือสภาพของจิตเป็นสภาพที่ละเอียดมาก กุศลนั้นจริงๆ คือ ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะขณะใด ขณะนั้นเป็นกุศล
เพราะฉะนั้นการให้ ต้องทราบเลยว่า ให้ด้วยจิตที่เป็นกุศลจริงๆ จะให้ด้วยเมตตาสงเคราะห์เพื่อนฝูง หรือว่าจะให้ด้วยการบูชาคุณของใครก็ตามแต่ แต่ให้ทราบว่า ถ้าให้ด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่ได้หวังสิ่งใดเลยเป็นการตอบแทน ขณะนั้นเป็นกุศลจิต แต่ถ้าเกิดความหวัง ไม่ว่าจะเป็นหวังใดๆ ทั้งสิ้นสักนิดเดียว หวังขณะนั้นก็เป็นอกุศลแล้ว ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรม แล้วก็ไม่ต้องห่วง ให้อะไรใครดี ถวายภัตตาหารประณีต ประเดี๋ยวพระคุณเจ้าทั้งหลายก็จะเกิดอกุศลต่างๆ เหล่านี้ เพราะว่าเรื่องของอกุศลจิต เป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะได้สิ่งที่ดีหรือไม่ดี อกุศลจิตก็เกิดได้ แม้เพียงของเล็กๆ นิดเดียว ไม่ใช่ของที่ประณีต อย่างมีเศรษฐีคนหนึ่งเขาก็บอกว่า ถ้าใครให้น้ำปลาเขาสักขวดเขาก็ดีใจ คิดดูสิคะ เป็นเศรษฐีมีเงินเยอะ แต่ว่าถ้าใครให้น้ำปลาเขาสักขวดเขาก็ดีใจ เพราะว่าเขาก็จะต้องคิดถึงว่า คนนั้นมีน้ำใจที่ยังคิดถึงเขา น้ำปลานั้นอาจจะเป็นน้ำปลารสที่ถูกปาก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเขาจะเกิดหลังจากที่ซาบซึ้งในความดีของคนอื่นแล้ว จะเกิดความติดพอใจในน้ำปลานั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าของจะประณีตหรือไม่ประณีต ก็ยับยั้งความติดข้อง ความพอใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับจิตของเราซึ่งผ่องใส ซึ่งจะคิดว่า สิ่งนั้นควรสำหรับบุคคลนั้น เหมาะสำหรับบุคคลนั้น บุคคลนั้นจะได้ใช้ประโยชน์ แต่ส่วนเขาจะเกิดอกุศลนั้น ไม่มีใครยับยั้งได้