โลกภายนอก-โลกภายใน
เพราะฉะนั้น การฟังมากๆ ก็จะทำให้เวลาที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ก็รู้ความจริงได้ เช่น ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นอะไรบ้าง สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นอะไรบ้าง คนเยอะแยะ โลกภายนอกที่กระทบตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย แล้วคิดเรื่องนั้นๆ แต่โลภภายใน คือจิต และเจตสิกเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลขณะที่กำลังคิดเรื่องนั้น เห็นไหมคะ ไม่รู้แม้แต่ว่าเป็นกุศลหรืออกุศลจิต แต่ฟังเรื่องธรรม
เพราะฉะนั้น ถ้าเพียงเข้าใจถูกต้องว่า ทุกวันอยู่กับโลกภายนอก แต่ถ้าไม่มีโลกภายในปรุงแต่ง โลกภายนอกมีไหม ไม่มี เพราะฉะนั้น ที่ใช้คำว่า “อายตนะภายนอก” สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับ สิ่งที่กระทบตาก็เป็นโลกหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับ เสียงก็เป็นโลกหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับ ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับเป็นโลกทั้งหมด แต่ว่าภายนอกหรือภายใน
เพราะฉะนั้น แม้แต่ฟังก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ตลอดชีวิตมาที่ไม่ได้ฟังพระธรรม โลกภายนอกปรากฏ แต่โลกภายในไม่ได้ปรากฏเลย ถ้าไม่มีจิต โลกภายนอกจะมีไหม ไม่มี แต่โลกภายนอกมีเพราะมีโลกภายใน คือจิตซึ่งเกิดดับเป็นกุศล อกุศล ก็ไม่รู้ไปวันๆ หนึ่ง เป็นวิบากก็ไม่รู้ เป็นอะไรก็ไม่รู้หมด จะรู้ก็ต่อเมื่อปริยัติ ฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งเข้าใจที่จะนำไปสู่การน้อมไปที่จะเข้าใจถูกในทุกสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ปรากฏ หรือสิ่งที่หมดไปแล้ว แต่สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ถึงจะเริ่มเข้าใจว่า ประโยชน์ของการฟังทั้งหมด ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อเห็นถูก เข้าใจถูกในความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียงที่ปรากฏทางหู หรือคิดนึกใดๆ ก็ตามทั้งหมด ก็เป็นสิ่งที่มีจริง คิดเมื่อไรก็รู้ เรื่องราวทั้งหมดไม่ใช่จิต ไม่ใช่โลกภายใน แต่เป็นอารมณ์ของโลกภายใน
เพราะฉะนั้น ก็จะทราบได้ว่า อยู่กับโลกภายนอกมานานแสนนาน ถ้าไม่ใช่ปัญญา จะไม่เข้าใจเลยว่า ทั้งหมดเพราะมีโลกภายใน ซึ่งเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เริ่มเห็นโลกจริงๆ ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก โลกภายนอกจะมาจากไหน ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่มีอะไรปรากฏเลย ฝนจะตก ไฟจะไหม้ ระเบิดที่โน่นที่นี่ ก็ไม่มี แต่มีแล้วรู้ไหมว่า โลกภายในขณะนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ก็ไม่รู้เลย จึงสะสมขยะกับความไม่รู้ไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น จะเห็นพระกรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงเพื่อให้คนอื่นเข้าใจได้ โดยต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีมากกว่าใคร ๔ อสงไขยแสนกัปเพื่อถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดกิเลสไม่ใช่เพียงพระองค์เดียว แม้จะทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้วนาน แต่พระธรรมก็ยังเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะให้คนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังสามารถเข้าใจถูก จึงสามารถรู้จักพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ มิฉะนั้นเราจะไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏทั้งฝ่ายนอก และภายในได้