สภาพธรรมไม่เปลี่ยน
ผู้ฟัง ผมเคยได้ฟังพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคท่านตรัสสอน ถ้าผมจำไม่ผิด ท่านพาหิยะหรือเปล่าว่า สักแต่ว่าเห็น ได้ยิน คิดนึก และท่านสอนว่า ขอให้สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าคิด หรือเปล่า กระผมก็ยังสงสัยอยู่ในลักษณะที่ว่าท่านผู้ได้ฟังพระพุทธพจน์นี้แล้ว ปรากฏว่าท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้น ก็ยังสงสัยอยู่ว่า พระพาริยะท่านรู้เรื่องจิต เจตสิก รูปหรือเปล่า ในลักษณะที่แยกจากกัน ในขณะนั้น หรือว่าท่านบรรลุพระอรหันต์จากการที่ท่านยึดมั่นในคำสอนนั้นจริงๆ ว่า สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน โดยไม่คิดนึกปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้นในขณะนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วก็ทำให้คิดต่อไปว่า การศึกษาธรรมจริงๆ แล้วทุกท่านก็เพื่อจะพ้นทุกข์ แต่ว่าการพ้นทุกข์นั้นท่านก็ยังระบุว่าต้องมีปัญญา หมายความว่าต้องรู้เสียก่อนถึงจะละได้ แต่ในพระไตรปิฎกที่พระผู้มีพระภาคสอนพระพาหิยะนั้นกระผมก็ไม่รู้รายละเอียด รู้แต่ว่าท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ กระผมจะเรียนถามความเห็นของท่านวิทยากรว่า การบรรลุของพระพาหิยะท่านจะต้องรู้เรื่องจิต เจตสิก รูปหรือเปล่า หรือว่าจะใช้ความอุตสาหะทางด้านอื่นเข้ามาในการที่จะทำให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ขอบพระคุณครับ
ท่านอาจารย์ เมื่อไม่นานมานี้ก็บังเอิญได้ฟังรายการวิทยุรายการหนึ่ง ซึ่งมีข้อความที่เหมือนเป็นข้อให้คิด หรือว่าท่านผู้กล่าวจะสงสัยก็ไม่ทราบ หรือว่าแน่ใจว่า อย่างท่านพระสารีบุตรเวลาที่ฟังท่านพระอัสสชิแสดงธรรมสั้นๆ ไม่เห็นได้แสดงพระอภิธรรมทั้งหมด เรื่องจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ เพราะฉะนั้นท่านคงจะไม่รู้ความละเอียดของจิต และเจตสิก ทำให้ท่านผู้กล่าวเกิดสงสัยว่า อย่างท่านพระสารีบุตร พระผู้มีพระภาคยังไม่ได้ทรงแสดงพระอภิธรรมกับพระพุทธมารดา แล้วท่านก็ยังไม่ได้รับฟัง เพราะฉะนั้นตอนที่ท่านบรรลุท่านคงจะไม่รู้เรื่องของสภาพธรรมเหล่านี้ แต่อย่าลืมว่าที่ทรงแสดง แสดงชื่อ เรื่อง แต่สภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นอย่างไร อย่างท่านพระสารีบุตรจะไม่รู้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าผู้ที่มีปัญญารองจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ท่านพระสารีบุตร
เพราะฉะนั้นในขณะที่ท่านฟังคำว่า “ธรรม” แล้วก็มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ สำหรับผู้ที่ไม่ได้สะสมปัญญามาที่จะเป็นพระอัครสาวก ก็คงจะต้องนั่งคิดว่าเคยเห็นเป็นคน แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็บอกว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นฟังเท่านี้ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ บางคนก็ต้องใช้เวลาศึกษานาน แล้วก็เพิ่งเริ่มจะเข้าใจจริงๆ ว่า ทุกอย่างที่กำลังปรากฏนั้นเป็นธรรม แต่สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการที่จะเข้าใจลักษณะของธรรม เมื่อได้ยินคำว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นธรรม ผู้นั้นจะเข้าใจในอรรถ ไม่ต้องมาชี้แจงเป็นทวารๆ ไป แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏก็เป็นทวารๆ ไปอยู่นั่นเอง เพราะเหตุว่าท่านพระสารีบุตรท่านก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ แล้วเวลาที่สภาพธรรมเกิดปรากฏก็มีลักษณะของเจตสิก เช่น เวทนาเจตสิกก็มี เจตสิกอื่นเช่นสัญญาก็มี
เพราะฉะนั้นเมื่อใช้คำว่า “ธรรม” คำเดียว สำหรับผู้ที่เข้าใจแล้ว ก็คลุมถึงสภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดกับท่านพระสารีบุตร แล้วแต่ว่าท่านพระสารีบุตรมีสภาพธรรมใดปรากฏ เช่นขณะนี้ สัญญาเจตสิกมี ทุกคนกำลังจำสิ่งที่เห็น แล้วกำลังฟัง ก็มีสัญญาเจตสิกที่จำ เสียง แล้วก็ยังเข้าใจความหมายด้วย ก็เป็นสัญญาเจตสิกทั้งนั้น แต่สำหรับผู้ที่คุ้นกับสภาพธรรม แม้ว่าจะไม่เอ่ยชื่อสัญญาเจตสิก แต่ว่ารู้ลักษณะสภาพที่จำ รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรมหรือความเข้าใจลักษณะของธรรม แสดงให้เห็นว่า เกินกว่าที่จะต้องใช้ชื่อโดยละเอียดสำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจลักษณะของธรรม แต่ว่าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมแล้ว ทุกอย่างที่ปรากฏไม่ว่าเป็นความจำขณะนั้นมี ยังไม่ต้องใช้ชื่อ ก็รู้ว่าเป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
เพราะฉะนั้นผู้ที่สงสัยอย่างนั้น คือ ผู้ที่ไม่รู้ลักษณะของธรรม แล้วก็ไม่รู้ว่า เวลาที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรม ธรรมปรากฏเป็นลักษณะของธรรมต่างๆ ซึ่งสำหรับผู้ที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรม แม้ว่าจะเรียนเรื่องของจิต เจตสิกแล้ว ก็ไม่มีใครไปบอกว่านี่ จักขุวิญญาณ อกุศลวิบาก กุศลวิบาก อกเหตุกะประกอบด้วยเจตสิกกี่ดวง แต่เพราะคุ้นกับลักษณะที่ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจว่า นี่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นธรรมชนิดหนึ่ง และสภาพที่เห็นก็มีจริงๆ แล้วก็เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่กำลังมองเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็ไม่ต้องมีใครมาอธิบายว่า จักขุวิญญาณ หรือว่าขันธ์ ๕ ประกอบด้วยสัญญาขันธ์ หรือว่าเวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเหล่านั้นปรากฏกับบุคคลนั้นด้วยความเข้าใจ
เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจธรรมจริงๆ จะคิดแปลก คือจะคิดว่า พระผู้มีพระภาคยังไม่ได้ทรงแสดงเรื่องของจิต เจตสิกโดยละเอียด เพราะฉะนั้นท่านพระสารีบุตรก็คงจะไม่ค่อยจะรู้อะไร หรือว่าเวลาที่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลก็รู้เพียงเท่าที่ได้ฟังจากท่านพระอัสสชิ
ผู้ฟัง ท่านพระสารีบุตรถามธรรมกับพระอัสสชิ แล้วก็บรรลุโดยรวดเร็ว แล้วที่อาจารย์ได้พูดว่าท่านบรรลุโดยรวดเร็วคล้ายๆ กับพระพาหิยะ แต่ว่าท่านเป็นชั้นพระโสดาบัน ในประวัติแสดงให้เห็นว่าท่านได้สั่งสมพระบารมีธรรม อบรมบ่มบารมีไว้ถึง ๑ อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้นการที่ท่านฟังธรรมที่ว่า เย ธัมมา เหตุปปัพพวา เตสัง เหตุง ตถาคโต เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวัง วาที มหาสมโณ ที่ท่านแสดงเพียงแค่นี้เอง พระสารีบุตรจำแนกธรรมออกไปได้อย่างละเอียด
ท่านอาจารย์ สติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมเกิด เพราะว่าถ้าสติปัฏฐานไม่เกิดไม่มีทางที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพราะเหตุว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ ต้องใช้ว่าตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นสภาพธรรมทั้งนั้น แต่ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ไม่มีวันที่จะรู้ว่า เป็นสภาพธรรม ก็ยังคงเห็นเป็นบัญญัติ เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ
เพราะฉะนั้นท่านพระสารีบุตร ความคุ้นเคยกับธรรม ความเข้าใจในลักษณะของธรรม เวลาที่ท่านพระอัสสชิกล่าวถึงธรรม เพียงธรรมท่านรู้ว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นธรรม แล้วขณะที่เห็นก็มีสัญญาความจำ มีหลายๆ อย่างซึ่งเกิด สำหรับท่านพระสารีบุตรไม่ใช่ท่านจะเหมือนคนที่เริ่มเตาะแตะ หรือตั้งต้น หรือว่าค่อยๆ ระลึกรู้ แล้วก็ค่อยๆ ใส่ใจพิจารณาลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แต่ท่านพร้อมที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นแล้วแต่ว่าขณะนั้นสติระลึก แล้วสภาพธรรมใดปรากฏกับท่านพระสารีบุตร เพราะเหตุว่าผู้ที่ไม่รู้ลักษณะของขันธ์ ๕ จะไม่สามารถละความติดข้องในขันธ์ ๕ ได้ แล้วขันธ์ ๕ ก็มีทั้งเวทนา มีทั้งสัญญา มีทั้งสังขาร
เพราะฉะนั้นชั่วขณะสั้นแสนสั้น ซึ่งทุกคนอาจจะคิดว่า ทำไมถึงสั้นอย่างนั้น สั้นมาก แต่ว่าเวลาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ชวนจิต ๗ ขณะ โดยวิถีวาระของมรรควิถี สั้นแค่ไหน มรรควิถี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือไม่มีการผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าปัญญาพร้อมที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าสภาพธรรมปรากฏกับบุคคลนั้น แล้วตลอดญาณทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างเร็วมากทีเดียว ขณะนี้คิดดูก็แล้วกันว่า ระหว่างทางตากับทางหู ซึ่งปรากฏเหมือนว่าพร้อมกัน วิถีจิตก็เกิดทั้งทางจักขุทวาร แล้วก็มีภวังคจิตคั่น แล้วก็มโนทวารหลายวาระ แล้วก็มีโสตทวารวิถี แล้วก็มีภวังค์คั่น แล้วก็มีมโนทวารหลายวาระ พอที่วิปัสสนาญาณจะเกิด พอที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับปัญญา สภาพธรรมไม่เปลี่ยน ท่านพระสารีบุตรจะได้ฟังท่านพระอัสสชิในระหว่างที่ท่านบิณฑบาต ก็คือท่ามกลางสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างนี้เอง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเป็นธรรม แล้วแต่ว่าปัญญาของใครเริ่มจะฟัง แล้วก็เริ่มจะเข้าใจลักษณะของธรรม แล้วสติเริ่มระลึกแล้วก็เข้าใจลักษณะที่เป็นสภาพธรรม ที่ไม่ใช่เรื่องของธรรม
ผู้ฟัง แสดงว่าขณะนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บอกพระพาหิยะให้เจริญสติปัฏฐาน แล้วพระอัสสชิก็ไม่ได้บอกพระสารีบุตร
ท่านอาจารย์ เพียงกล่าวถึงธรรม
ผู้ฟัง แต่เมื่อแสดงธรรม ก็บรรลุในขณะที่ฟัง
ท่านอาจารย์ ซึ่งสติจะต้องระลึกด้วยความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรม แล้วธรรมปรากฏ
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจะเห็นว่า อานิสงส์มากมายเหลือเกิน ถ้าหากเราได้ศึกษาจากประวัติของพระสาวกทั้งหลาย แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่บรรลุโดยฉับพลันแล้วก็ เราศึกษาถูกเรื่องตรงนั้นพอดี เราก็คิดว่าเราคงเป็นท่าน เพราะฉะนั้นบางครั้งเราฟังวันนี้ แล้วจะให้ได้วันนี้เลย ก็คงไม่ใช่ เพราะว่าท่านสั่งสมบารมีธรรม บ่มบารมีมา ๑ อสงไขยแสนกัปทีเดียวจะมาฟังธรรมอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้นเราคงไม่สุกเอาเผากิน บรรลุกันง่ายๆ อันนี้เป็นข้ออุทาหรณ์เตือนสติเราไว้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องที่เอามาพูดกันโดยที่ว่าขาดเหตุ และผล เพราะฉะนั้นพระสารีบุตรเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ความจริงพระอัสสชิต้องการที่จะแสดงธรรมมากกว่านั้นนะครับ ครับนี้เป็นตัวอย่าง