พระอริยบุคคลไม่หลงตัวเอง


    ผู้ฟัง พระโสดาบันบุคคลไม่สงสัยในรูปธรรม และนามธรรม หมายความว่าเป็นผู้รู้แจ้งในอริยสัจธรรมแล้ว แต่สิ่งที่น่าสงสัยอย่างยิ่งก็คือว่า เมื่อเห็นรู้แล้วว่า ธรรมไม่ใช่ตัวตน คือเห็นว่าเป็นรูปธรรม เป็นนามธรรมชัดเจน หมายถึงรู้ลักษณะของจิต เจตสิก รูปชัดเจนนั้นเอง แต่ก็ยังละกิเลสไม่ได้ ทั้งหมด ทั้งๆ ที่รู้ มันไม่ใช่เรา จะต้องถึงเป็นพระอรหันต์ถึงจะละได้หมดทุกอย่าง เหตุปัจจัยอะไรครับที่ทำให้พระโสดาบันบุคคลละความเป็นตัวตน ละกิเลสไม่ได้ทั้งๆ ที่รู้ว่า ธรรมคือธรรม ธรรมไม่ใช่ตัวตน คืออย่างไร ด้วยเหตุปัจจัยอะไรถึงละไม่ได้ จะต้องเป็นพระอรหันต์ถึงละได้หมด

    ท่านอาจารย์ โดยมากก่อนที่จะศึกษาธรรม ทุกคนเข้าใจว่าที่ใช้คำว่าโสดาบัน ในความหมายของอรหันต์ เช่นบอกว่า ฉันไม่ใช่พระโสดาบันนี่ ยังโลภ ยังโกรธ ยังหลง เขาคิดว่า โสดาบันเท่ากับอรหันต์ หมายความว่าไม่มีกิเลสเลย แต่ว่าเมื่อได้ศึกษาแล้วจะทราบได้ว่า การดับกิเลสต้องดับเป็นลำดับขั้น แล้วก็เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานจริงๆ จะรู้ว่า สภาพธรรมทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นก็ละการที่จะยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน แต่รู้ว่าสภาพธรรมทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ขณะที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็คือผู้ที่มีโลภะ โทสะ โมหะ มีอกุศลเต็มทุกประเภท เพราะฉะนั้นเวลาที่สติระลึกลักษณะสภาพของธรรมหนึ่งธรรมใด ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ย่อมเห็นความไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าสติเลือกไม่ได้ว่าจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมอะไร แล้วเมื่อมีปัจจัยของสภาพธรรมใด สภาพธรรมนั้นก็เกิดปรากฏแล้วหมดทันที

    เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็สามารถที่จะรู้ในความไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโลภะ ไม่ว่าจะเป็นโทสะ ไม่ว่าจะเป็นมานะ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลอื่นๆ ซึ่งพระอริยเจ้าระดับสูงขึ้นจึงจะละได้ แต่สำหรับพระโสดาบันไม่ใช่ไปกระทำกิจละสภาพอกุศลธรรมที่พระอริยบุคคลขั้นสูงละ เพราะเหตุว่าปัญญาระดับขั้นของพระโสดาบัน เพราะสติระลึกจึงรู้ในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทุกอย่าง จนกระทั่งสามารถที่จะละคลายการยึดถือของสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตน แล้วจะเห็นว่ากว่าจะละคลาย ไม่ใช่สักแต่ว่า แค่นั้นไม่มีทางที่จะละคลายเลย เพราะว่าการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่จะละความเป็นตัวตน ต้องขันธ์ ๕ ไม่ใช่ว่าไม่ระลึกขันธ์หนึ่งขันธ์ใด แล้วก็จะเป็นโสดาบันได้ เวทนาขันธ์เกิดขึ้น จะบอกว่า พระโสดาบันไม่ระลึกไม่รู้ในความไม่เที่ยงของเวทนาก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสัญญา หรือสังขาร หรือวิญญาณก็ตาม

    เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพธรรมเกิดดับปรากฏโดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ปัญญาขั้นพระโสดาบันที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม จึงรู้ในความไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรม แต่รู้ว่าโลภะก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งซึ่งมีเหตุปัจจัยเกิด ไม่ใช่พระโสดาบันจะไปทำอะไรโลภะได้เลย แต่เพราะรู้ว่ายังมีโลภะอยู่ เพราะฉะนั้นจึงรู้ได้ว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ไม่ใช่พระอนาคามี ไม่ใช่พระสกทาคามี ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลทุกคนไม่หลงผิด รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า ยังมีกิเลสใดเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นกิเลสที่ดับก็เป็นแต่เพียงสักกายทิฏฐิ การที่ไม่เคยประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม การที่ไม่รู้ในลักษณะของพระนิพพาน

    เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วก็รู้ว่า มีกิจที่จะต้องกระทำต่อไป ยังไม่ใช่ผู้ที่เสร็จกิจแล้ว เพราะฉะนั้นท่านก็รู้ว่า ขณะใดสติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในชีวิต จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นโทษของอกุศลชัดขึ้น ละเอียดขึ้น แล้วก็ค่อยๆ ละไปตามลำดับ แต่ว่าไม่ใช่ว่าจากพระโสดาบันก็จะเป็นพระอรหันต์ได้


    หมายเลข 9049
    21 ส.ค. 2567