ความสงสัยในขันธ์


    ผู้ฟัง ทีนี้ต่อไปถึงขันธ์ที่เป็นอดีต อาจารย์คะ ขันธ์ที่เป็นอดีต

    ท่านอาจารย์ ก็นี่คะ ก็เรื่องของสิกขาทั้งหมด อย่างขณะที่สติระลึก แล้วก็มีความสงสัยว่าเพียงแค่สติระลึกสภาพธรรมที่กำลังรู้แข็งกับแข็ง อย่างนี้หรือจะทำให้สามารถเป็นถึงพระอรหันต์ได้ หรือสามารถที่จะแทงตลอดในการเกิดดับของสภาพธรรม หรือว่าสามารถที่จะประจักษ์อริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบันได้ นี่คือความสงสัย ความไม่รู้ในขันธ์ เพราะเหตุว่าขณะนี้ เรารู้จักชื่อ ขันธ์ แต่ว่าลักษณะของขันธ์ เราก็อาจจะไปบอกว่าปรมัตถธรรมมี ๔ จิต เจตสิก รูป เป็นขันธ์ ๕ เราก็รู้จักชื่อ แต่จริงๆ แล้วลักษณะของขันธ์คือ สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ โดยปรมัตถธรรม ๔ ทรงแสดงไว้เพียง๔ แต่ว่าย่อลงไปกว่านั้นอีก ก็คือ นามธรรมกับรูปธรรม ๒ อย่าง ขณะนี้ถ้าเราจะตั้งต้นปัญญาจริงๆ เรายังไม่ต้องรู้เรื่องขันธ์ก็ได้ เพราะขันธ์ตั้ง ๕ แล้วก็ปรมัตถธรรมตั้ง ๔

    เพราะฉะนั้นถ้ารู้จริงๆ ว่า มีสภาพธรรมที่ต่างกันโดยเด็ดขาด ๒ อย่าง คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ กับสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม แค่นี้เราก็พิจารณาว่า จริงไหม ไม่ว่าที่ไหนในโลก เดี๋ยวนี้ หรือว่าอดีต อนาคต หรือว่าต่อไป หรือว่าจะเป็นโลกไหนก็ตาม สภาพธรรมที่มีจริงๆ ต่างกันเป็น ๒ ลักษณะแท้ๆ แน่นอน คือ เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ สามารถที่จะรู้ มีลักษณะที่รู้ ส่วนอีกลักษณะหนึ่งนั้นไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม ต้องเข้าใจความต่างกันของ ๒ อย่าง

    นี่คือการที่จะไม่สงสัยในรูปขันธ์ และนามขันธ์ แต่ว่าเพียงเท่านี้ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เราเกิดปัญญาอะไร ได้เพราะเหตุว่าการสะสมปัญญาไม่พอ เพราะฉะนั้นแยกนามขันธ์หรือนามธรรมออกเป็น ๔ ซึ่งก็ได้แก่ จิต และเจตสิก แต่ถ้าแยกเป็น ๒ ก่อนก็ได้ คือแยกเป็นจิต และเจตสิก ให้รู้ว่าที่เป็นนามธรรมที่เกิดพร้อมกัน แล้วเป็นสภาพรู้ แท้ที่จริงแล้วมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือเป็นจิตประเภทหนึ่ง แล้วก็เจตสิกอีกประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้นนามธรรมก็เป็น ๒ แล้วก็แตกนามธรรม ๒ ออกเป็นนามขันธ์ ๔

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เรื่องอื่น เป็นเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจชัดเจนในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็จะค่อยๆ หมดความสงสัย ความไม่รู้ในขันธ์

    ผู้ฟัง ตอนนี้ที่เป็นอดีต หมายความว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขันธ์เกิดแล้วดับ ทันที่ที่ผ่านไปเมื่อกี้ก็เป็นอดีตแล้ว คุณสุรีย์ยังสงสัยอยู่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ก็คลุมเครือ

    ท่านอาจารย์ นี่คือสงสัยในขันธ์ ถ้าจะให้ชัดว่า สงสัยหรือเปล่า ขณะไหน อย่างไร ก็จะได้ทราบด้วยตัวเองว่า สงสัยอย่างนี้ ก็คือสงสัยในขันธ์

    ผู้ฟัง สงสัยในขันธ์ ที่เป็นอดีต สงสัยในขันธ์เป็นอนาคต อันนี้ก็หลักของเกิดดับเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ที่จริงที่ว่าขันธ์ยาว ที่ว่าสงสัยในขันธ์ในอดีตที่ดับไปแล้ว ว่าความจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นอดีต แต่ก็เกิดดับ เกิดดับ เป็นอดีต ต้องมีเกิดดับด้วยไม่ใช่ว่า ยาว

    ผู้ฟัง ใช่ เกิดดับ เกิดดับ เป็นอดีต แต่นี้ในอนาคต

    ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้เป็นปัจจุบัน แล้วขณะที่เกิดต่อเป็นอนาคตของขณะเมื่อกี้นี้

    ผู้ฟัง เกิดดับ ตกลง ๓ ข้อ ถ้าเผื่อว่าหลักก็คือเกิดดับเท่านั้นเอง ถ้าเข้าใจอันนี้ ก็คงเข้าใจทั้ง ๓ ข้อว่า สงสัยในขันธ์ที่เป็นอดีต สงสัยในขันธ์ที่เป็นอนาคต สงสัยในขันธ์ที่เป็นทั้งอดีต และอนาคต ทีนี้พูดถึงชาติที่แล้ว อันนี้เป็นสงสัย วิจิกิจฉาหรือเปล่า ชาตินี้ชื่อสุรีย์ ชาติที่แล้วเราเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ เหมือนกับเป็นเรื่องราว แต่ที่จริงแล้ว คุณสุรีย์ไม่ได้คิดถึงเรื่องตัวชื่อ จริงๆ แต่คิดถึงความเป็น เพราะฉะนั้นในลักษณะของความเป็นนั้นก็คือสภาพธรรม โดยที่เราไม่รู้ว่านี้ชื่ออะไร ทุกคนมีขันธ์ แล้วทุกคนก็เกิด แล้วก็เห็นคนอื่นตาย แล้วก็รู้ว่าตัวเองก็จะต้องตายด้วย เพราะฉะนั้นต้องตายแน่นอน แต่ทั้งๆ ที่เกิดแล้วตาย ต่อไปจะเกิดอีกหรือเปล่า

    นี่ก็คือไม่ใช่รู้เรื่องบัญญัติอย่างเดียว แต่คิดถึงสภาพเกิดแล้วตาย เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งปนกันเหมือนกับว่า เราไม่สามารถจะแยกออกได้ว่า นี่เป็นปฏิรูปกวิจิกิจฉา หรือว่าเป็นวิจิกิจฉาเจตสิก แต่ให้ทราบได้ว่า ในขณะนั้นเป็นความสงสัยในเรื่องราวหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับปรมัตถธรรมเลย ไม่มีขันธ์ไม่มีอะไรเลย เป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติ อันนั้นก็เป็นปฏิรูปกวิจิกิจฉา แต่ถ้าเนื่องกับขันธ์ โดยที่คุณสุรีย์เองไม่รู้ว่านี้ชื่อขันธ์ หรือว่านี่เป็นขันธ์แต่ก็มีขันธ์ให้สงสัย คือ มีรูป เกิดมาก็มีรูป แล้วก็ไม่รู้ว่านี่เป็นขันธ์ แล้วก็มีจิตใจด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่า เป็นนามขันธ์ ไม่รู้ว่าเป็นจิต เป็นเจตสิก แต่กระนั้นด้วยความยึดถือในสิ่งที่มี ในสภาพที่เป็นขันธ์ แต่เรียกอย่างอื่น ก็คิดว่าสิ่งนี้แหละเมื่อตายแล้วจะมีไหม นั่นก็เป็นความสงสัยในขันธ์ เป็นสภาพของวิจิกิจฉาเจตสิก เพราะว่าจริงๆ แล้วขณะนั้นไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องราว แต่สงสัยในสภาพที่มีอยู่ในขณะนี้ว่า เมื่อตายแล้วจะเกิดอีกหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยการพิจารณาไตร่ตรองแยกให้ออกว่า เป็นปฏิรูปกวิจิกิจฉา คือ ความสงสัยในเรื่องราว หรือว่าในขณะนั้นมีสภาพธรรม ซึ่งแม้ว่าเราไม่รู้ว่าบัญญัติเรียกว่าขันธ์ แต่เราก็สงสัยแล้วในขันธ์นั้น ไม่ใช่ว่าคนที่เรียนถึงจะรู้ หรือว่าถึงจะมี แต่มีทั้งนั้น แต่ว่าโดยไม่รู้ตัว

    ผู้ฟัง อันนี้มีใครสงสัยไหมคะ สงสัยในขันธ์ นั่งๆ เพลินๆ เลยคิดว่า ชาติหน้าจะเป็นอะไร มีไหมคะ อันนี้ก็ในขันธ์ แต่เราไม่รู้ตัวที่อาจารย์พูดเมื่อกี้นี้

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่รู้ไม่ได้ ว่าใครตายแล้วจะเกิดที่ไหนอย่างไร แต่ถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ก็ยังต้องเกิดกันทุกคน


    หมายเลข 9056
    21 ส.ค. 2567