เพราะไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม


    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ เคยมีคนเข้าปฏิบัติ จะเรียกว่ากรรมฐาน วิปัสสนาบ่อย แล้วก็บางแห่งจะฝึกด้วยวิธี เห็นเป็นรูป รู้เป็นนาม ช่วยแนะนำวิธีที่ควรจะดูในสิ่งที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ คือโดยมากก่อนอื่นอย่าเพิ่งใจร้อน พอใครเขาบอกว่า วิปัสสนา เราก็วิปัสสนาไปด้วย เป็นความเข้าใจของเราหรือยัง เขาพูดได้ว่าวิปัสสนา แต่เราเข้าใจคำนี้หรือยัง ถ้าเราเข้าใจคำนี้จริงๆ หมายความว่า เป็นปัญญาที่รู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงของธรรม นี่คือความหมายของวิปัสสนา

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครบอกว่า ไปทำวิปัสสนา หรือว่าไปเข้าวิปัสสนา หมายความว่าคนนั้นไม่รู้จักธรรม เพราะเหตุว่าขณะนี้เป็นธรรม ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว โดยมากพอเราพูดถึงเรื่องราวของชีวิต เราก็คิดเป็นตอนไปเลย ตั้งแต่เกิดมาเราทำอะไรบ้าง เมื่อวานนี้ทำอะไร อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า เหตุการณ์รถชนกันมีคนตาย ซื้อของถูกโกง หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ให้ทราบว่าถ้าแตกย่อยเป็นเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาแล้ว เหลือเพียงชั่วขณะจิตเดียว ทีละขณะ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยทำกิจหน้าที่ของจิตแล้วดับอย่างเร็วมาก สิ่งนี้เรารู้หรือยัง ประจักษ์หรือยัง เป็นความจริง แต่ว่าไม่เคยรู้ไม่เคยประจักษ์ เพราะว่าเห็นทีไร ไม่เคยรู้เลยว่าสั้นแสนสั้น แล้วก็มีความทรงจำทันทีว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใด

    เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในโลกของสมมติบัญญัติตลอดชีวิตไม่ทราบว่ากี่ชาติ ตราบใดที่ไม่ได้ฟังพระธรรม แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วเราถึงจะเข้าใจว่า นี่คืออวิชชาความไม่รู้สิ่งซึ่งกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น วิปัสสนาคือปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งซึ่งปรากฏ จนกระทั่งสภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริงต่อวิปัสสนาญาณขณะนั้น แต่ต้องอาศัยความเข้าใจลักษณะของธรรมซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น ขณะนี้อยู่ที่นี่ แล้วจะไปทำวิปัสสนาที่ไหน จะไปเข้าวิปัสสนาที่ไหน จะไปทำอะไร นอกจากว่ามีสภาพธรรมที่ปรากฏแล้ว เกิดแล้ว เพราะเหตุปัจจัย ถ้าศึกษาจริงๆ จะทราบได้ว่า ขณะจิตหนึ่งซึ่งเกิดมีปัจจัยมาก จนกระทั่งทำให้จิตขณะนี้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ ชั่วขณะเดียวแล้วดับ แต่ว่าอาศัยปัจจัยหลายปัจจัย

    เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวตน หรือว่าไม่มีใครที่จะไปยับยั้งการเกิดขึ้นเป็นไปของนามธรรม และรูปธรรมแต่ละขณะได้ นอกจากจะอบรมเจริญปัญญาที่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นยังไม่ต้องไปถึงวิปัสสนาญาณ เพียงแต่ว่าธรรมคืออะไร ถ้าเขาสามารถจะให้เข้าใจได้ เขาก็ต้องให้เข้าใจได้ว่าขณะนี้เป็นธรรม เมื่อขณะนี้เป็นธรรม สติเป็นสภาพที่ระลึก แต่ต้องอาศัยความเข้าใจก่อน ถ้าไม่มีความเข้าใจไม่มีทางเลย เป็นเราทำ เป็นเรากำหนด เป็นเราท่อง เป็นเราทำทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วใช้ชื่อว่า วิปัสสนา แต่ว่าถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ ของใครก็ตาม คนนั้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม หรือว่าไม่ใช่

    ผู้ฟัง คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วเกิดว่า มีคนชวนเขาไปสถานที่แห่งหนึ่งก็แล้วกัน แล้วบอกเขาว่าจะฝึกให้เราเดิน หรือให้เรารู้ว่าอะไรเป็นรูป อะไรเป็นนามอย่างนี้

    ชวลิต ให้ท่องใช่ไหมครับ

    ผู้ฟัง ค่ะ ลักษณะตรงข้ามกันที่ท่านอาจารย์

    ชวลิต เห็นเป็นรูป หรือครับ

    ผู้ฟัง เห็นเป็นรูป รู้เป็นนามอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เราพอใจที่จะทำอย่างนั้นหรือเปล่าคะ อยู่ที่ว่า เราพอใจที่จะทำอย่างนั้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คืออันนี้จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ เพราะท่านอาจารย์กล่าวว่า ในขณะที่เรารู้นามธรรม ไม่รู้รูป คือมันแยกกัน ใช่ไหมคะ อันนี้มันมีความรู้สึกว่า เหมือนกับการท่องสูตรคูณหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เป็นการฟังให้เข้าใจก่อนจริงๆ ว่า นามธรรมเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่รออยู่ก่อน แต่เมื่อมีปัจจัยจึงเกิด อย่างจิตได้ยิน ไม่ใช่คอยจะเกิด แต่ต้องอาศัยโสตปสาทที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย มีอายุ ๑๗ ขณะของจิตซึ่งเกิดดับ แสดงว่าโสตปสาทจะดับเร็วสักแค่ไหน เสียงก็เช่นเดียวกัน มีอายุสั้นมาก คือเท่ากับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ เมื่อทั้ง ๒ อย่างยังไม่ดับแล้วกระทบกันเท่านั้นที่เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น

    นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครไปบังคับบัญชาสภาพธรรมเลยว่า ไปคอยนามนั้นรูปนี้ หรือว่าให้กำหนดที่นั่นที่นี่ แต่รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ต้องทำอะไร ไม่มีใครทำ มีเหตุปัจจัยที่ทำให้นามธรรมเกิดขึ้น มีเหตุปัจจัยที่ทำให้รูปธรรมเกิดขึ้น เพียงสติระลึก เพราะความเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงที่เกิดนั้นไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ เพราะฉะนั้น อยู่ที่เราว่า พอใจจะทำอย่างนั้นหรือเปล่า มีใครบังคับเราได้หรือคะ ไม่มี แล้วพอใจที่จะทำอย่างนั้นไหม

    ผู้ฟัง ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ไปทำทำไม ไปทำอะไร ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม ถึงได้ไปทำ คำตอบยืนยันอยู่แล้วว่า ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรมจึงต้องไปทำ ถ้ารู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม ใครก็ทำไม่ได้ เห็นนี้ใครก็ทำไม่ได้ ได้ยินก็ทำไม่ได้ เป็นธรรม แต่สติสามารถที่จะระลึกแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าเป็นสภาพรู้ หรือเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ใครก็คงจะชักชวนไปเข้าห้องปฏิบัติ หรือทำวิปัสสนาไม่ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ


    หมายเลข 9061
    21 ส.ค. 2567