หนีพ้นด้วยปัญญาอย่างเดียว


    อ.นิภัทร มีอีกอันหนึ่ง คือมีคำว่าขณะสติเกิด รู้ว่าสติเกิดหรือมีสติ ขณะที่หลงลืมสติ รู้ว่าหลงลืมสติ หรือไม่มีสติ ทีนี้ขณะสติเกิด มันเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ ทุกคนยอมรับ เหมือนเดิมทุกวันตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้ หลงลืมสติ คือเหมือนเดิม เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน เหมือนเดิม แต่เวลาที่สติเกิด หมายความว่าในขณะที่สภาพหนึ่งสภาพใดกำลังปรากฏ เริ่มที่จะเข้าใจลักษณะนั้น แสดงว่าสติระลึก ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง เริ่มที่จะเข้าใจอะไรครับ

    ท่านอาจารย์ ลักษณะของสภาพที่ปรากฏว่าลักษณะนั้นเป็นสภาพรู้ หรือเพียงแต่รูปชนิดหนึ่ง

    อ.นิภัทร หมายความว่าเราจะต้องมีความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ต้องมีความเข้าใจขั้นการฟังก่อน

    อ.นิภัทร ฟังว่าอะไรเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ ต้องเข้าใจอันนี้ก่อน

    ท่านอาจารย์ สัจญาณ เพราะเหตุว่าอริยสัจ ๔ มี ๓ รอบ ทรงแสดงไว้ ถ้าไม่มีสัจญาณคือ ความเข้าใจจริงๆ ในทุกขสัจ หรือในทุกขอริยสัจว่าคือ สภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วดับ มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับทันที แล้วจะเป็นสุขได้อย่างไร เพียงแต่เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับ เท่านั้น

    อ.นิภัทร ปกติชีวิตประจำวัน เห็น เราก็เห็น ได้ยิน เราก็ได้ยิน ได้กลิ่นก็มี ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส คิดนึก มีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีว่างเว้นเลย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งใน ๖ ทางนี้ แต่เราก็ไม่รู้ ขณะที่ไม่รู้หมายความว่าหลงลืมสติ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.นิภัทร หลงลืมสติ แต่ขณะใดสภาพธรรมเกิด เราระลึกได้

    ท่านอาจารย์ กำลังรู้ที่ลักษณะนั้น

    ผู้ฟัง ขณะนั้นเป็นสติเลยหรือ

    ท่านอาจารย์ สติระลึก ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ไม่มีการไปทำ แต่รู้ว่าขณะไหนสติเกิด เมื่อไรสติเกิด แล้วก็สตินั้นระลึกลักษณะสภาพธรรมอะไร

    ผู้ฟัง เมื่อกี้คุณคนนี้มาพูด ก็เหมือนไม่มีความเข้าใจ ทุกวันเราก็ดูธรรมอยู่ทุกวัน ธรรมวิจิตร ดีกว่าเปาบุ้นจิ้น ดีกว่า ..ดูตัวเราเอง เดี๋ยวจะเอาอย่างโน้น เดี๋ยวจะเอาอย่างนี้ เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เราดูสนุก ไม่ต้องไปดูโทรทัศน์ เราดูตัวเราเอง เดี๋ยวอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เราก็รู้ โลภะเกิดเราก็รู้ เดี๋ยวไปริษยาเขาอีกแล้ว ขายของเดี๋ยวคนนั้นจะขายดีกว่าเรา เราจะขายไม่ดีกว่าเขา นี้ธรรมมันวิจิตร เหลือที่จะวิจิตรเลย

    ท่านอาจารย์ เวลาที่สติเกิดระลึกได้ จะเห็นว่าในอนาคตจะค่อยๆ ละ เพราะว่ารู้ขึ้น แต่ว่าทีละน้อยมาก แต่ว่าเริ่มเห็นแล้วว่า ไม่ใช่เรา เป็นสติที่ระลึก เพราะว่าอย่างวันนี้ทั้งวัน เราต้องการที่จะให้สติเกิดตอนนั้นตอนนี้ ไม่มีทาง แล้วแต่สติเองที่จะเกิดตอนไหน แล้วก็สติจะระลึกอะไร นั่นคือสัมมาสติ

    เพราะฉะนั้นคนนั้นเริ่มที่จะเห็นความเป็นอนัตตาของสติ นี่เป็นทางหนึ่งซึ่งจะคลายความเป็นเราที่กำลังทำ เพราะว่ายิ่งเป็นเราที่กำลังทำ ไม่มีทางเลย ยิ่งติดลงไปทุกทีว่า เราทำ เราเห็น เราอย่างนั้นเราอย่างนี้ แต่ว่าเวลาที่เกิดสติระลึกเอง จะเห็นได้ว่าขณะนั้นเห็นจริงๆ ว่า แม้สติก็เป็นอนัตตา แล้วก็เกิด แต่เลือกอารมณ์ให้สติไม่ได้ เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็รู้อีกว่า เมื่อไรสติเกิดอีก เวลาที่หลงลืมสติก็รู้ เวลาที่สติเกิดก็รู้

    ผู้ฟัง บางทีไอ้โลภะมันเกิดทางตา บางทีเราต้องหลับตา

    ท่านอาจารย์ หลับตาก็มาได้

    ผู้ฟัง มันก็ค่อยยังชั่วหน่อย

    ท่านอาจารย์ เก่งจะตาย

    ผู้ฟัง ไอ้โลภะทางตานี่ร้ายเหลือ มันสารพัดจะปรุงแต่งให้จิตของเรา

    ท่านอาจารย์ ทีหลังก็ไม่หลับ เพราะรู้ว่าหลับก็มา ใช่ไหมคะ หนีไม่พ้น หนีไม่พ้นเลย ต้องด้วยปัญญาอย่างเดียว


    หมายเลข 9062
    21 ส.ค. 2567