สว่างเพราะไม่มีอะไรปิดบังได้


    ผู้ฟัง ต่อไปวรรคที่ ๒ มีการทำอารมณ์ให้โอภาสเป็นกิจ เชิญท่านอาจารย์สมพรก่อน

    อ.สมพร อารมณ์หมายความสิ่งซึ่งจิตรู้ สิ่งใดที่จิตรู้ สิ่งนั้นเรียกอารมณ์ ที่บอกว่าโอภาส คือว่าเมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นก็แจ่มแจ้งในอารมณ์นั้น รู้ตามความเป็นจริงในอารมณ์นั้น เช่นอะไรปรากฏ อารมณ์เป็นสี ก็รู้ถึงสีตามความเป็นจริง สีไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ก็รู้ตามความเป็นจริงนั้น รู้ตามความเป็นจริงเรียกว่า “โอภาส” โอภาส หมายถึงแสงสว่าง คือ ไม่มีอะไรปิดบังได้ ไม่เหมือนความมืด โมหะคือความมืด เมื่อไม่มีโมหะ มีปัญญาก็มีแสงสว่าง ปัญญาเปรียบเหมือนแสงสว่าง มีแสงสว่างก็มีการเห็นอะไรสารพัดอย่าง เหมือนในห้องนี้ มันสว่างเราก็สามารถจะเห็น แต่ถ้ามีความมืดคือโมหะ เราก็ไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้นปัญญาท่านจึงเปรียบเหมือนโอภาส คือแสงสว่างในอารมณ์นั้น

    ท่านอาจารย์ อย่างจะถามว่า ในห้องนี้ ขณะนี้ มืดหรือสว่าง ก็แล้วแต่จะตอบใช่ไหมคะ มีแสงสว่าง แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่สว่างที่กำลังปรากฏว่า เป็นแต่เพียงรูปธรรม แม้ว่าสว่างจริง มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็มืด เพราะฉะนั้นปัญญาตรงกันข้าม คือ ปัญญาไม่ใช่โมหะ ไม่ใช่อวิชชา แต่เป็นปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่ภาษาบาลีใช้หลายๆ คำ เช่น คำว่า วิชชา หรือญาณ หรือแม้แต่สัมมาทิฏฐิ จะเห็นได้ว่า คำว่าเข้าใจถูก ไม่ใช่ภาษาบาลี เป็นภาษาไทย แต่ถ้าแปลก็ตรง ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจเลย หรือว่าไม่มีความเข้าใจถูก ปัญญาเกิดไม่ได้เลย ส่วนมากเวลาที่เราพูดถึงปัญญา เราคิดถึงปัญญาที่เป็นปัญญาของพระอริยสาวก หรือว่าเป็นปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็คิดว่า ปัญญานั้นเป็นอย่างนั้น แต่ว่าปัญญาอย่างนั้นที่จะเป็นโลกุตตระที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมทั้งหมด จะต้องเจริญแล้วจากขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจในสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้นถ้าเราแปลระดับต้น คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ผู้ที่อบรมเจริญปัญญารู้เลยว่า คนนั้นเข้าใจความหมายของปัญญา เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีปัญญาคือความเห็นที่ถูกต้องแล้ว ปัญญาจะเจริญเติบโตถึงกับประจักษ์แจ้งแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้แม้แต่กำลังฟัง ทุกคนก็รู้จักตัวเองว่า เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมากน้อยแค่ไหน เข้าใจระดับขั้นฟังรู้ความหมาย หรือว่าฟังรู้ความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ หรือว่าแม้ว่าจะฟังเข้าใจ แต่สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามที่ได้ฟัง เพราะเหตุว่าสติยังไม่ได้ระลึกลักษณะของสภาพธรรมนั้น

    เพราะฉะนั้นปัญญายังไม่เจริญถึงขั้นที่จะแทงตลอดอริยสัจธรรม โดยเหตุนี้จึงกล่าวว่า ปัญญาเป็นแสงสว่าง เพราะเหตุว่าแม้มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็เหมือนกับมืด แต่เวลาที่เริ่มเข้าใจ เริ่มมีแสงสว่างเล็กๆ น้อยๆ ค่อยๆ สว่างขึ้น เมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ต่อไปนี้ก็คงจะทราบแล้วว่า จะบอกว่าคนนั้นมีปัญญา ง่ายๆ อย่างที่เคยพูดไหมคะ เพราะว่าแต่ก่อนก็อาจจะพูดว่า คนโน้นมีปัญญา คนนี้มีปัญญา แต่ถ้าเข้าใจปัญญาจริงๆ แล้วจะกล่าวง่ายๆ อย่างเคยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็คงจะไม่ได้


    หมายเลข 9080
    21 ส.ค. 2567