ตั้งต้นให้ถูก


    อ.กฤษณา อย่างในปัจจุบันมีสถานีวิทยุหลายๆ สถานีทีเดียวที่เสนอรายการธรรม แล้วมีผู้บรรยายธรรมก็มีหลายท่าน แล้วมีหลายรายการที่แสดงที่เสนอสิ่งที่ไม่ได้ทำความเห็นให้ตรง เพราะฉะนั้นคงจะมีผู้ฟังรายการเหล่านั้นไม่น้อยทีเดียว ที่เขาได้ฟังในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่คิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นสุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง จะเกิดได้อย่างไร แล้วก็จะได้รับอานิสงส์ในประการที่ทำความเห็นให้ตรงนี้ได้อย่างไร ขอเรียนถามอาจารย์สุจินต์ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ยากนะคะ สำหรับคนที่ไม่ได้สะสมมาที่จะไตร่ตรองธรรม แล้วก็จะรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นถูกต้องไหม แต่ว่าผู้ที่มีเหตุผล และก็เป็นผู้ที่ตรง เมื่อฟังก็ย่อมพิจารณาได้ แต่ว่าแล้วแต่กรรมในอดีต ถ้าเป็นผู้ที่เคยสะสมบุญไว้ในปางก่อน ก็มีโอกาสที่จะได้ฟังสิ่งที่ถูก แต่บางคนมีศรัทธามาก แล้วก็อยากจะฟังธรรม แต่ว่าฟังสิ่งซึ่งไม่ใช่ธรรม แล้วก็มีความเชื่อ เพราะเหตุว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังสิ่งที่ถูกต้องมาก่อน

    เพราะฉะนั้นบางคนก็บอกว่าเขาฟังธรรมมาตั้ง ๒๐ ปี แต่ว่าไม่เคยพบพระธรรมจริงๆ เพราะฉะนั้นสายเกินไป หรือทำไมเขาถึงได้ช้าเกินไปที่จะได้พบได้ฟังธรรม นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งแล้วแต่บุญกรรม ซึ่งทุกคนก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า ตอนที่ทุกคนเป็นเด็กก็คงไม่คิดหรอก ว่าจะมานั่งทีนี่ แล้วก็จะมาฟังพระอภิธรรมด้วย หรือว่าฟังธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมขณะนี้ตามความเป็นจริง เพราะว่าบางคนพอสนทนาด้วยก็บอกว่า เขารู้แล้ว ฟังธรรมมาตั้งหลายปีแล้ว อ่านหนังสือมาเยอะแล้ว แต่ว่าสิ่งที่พูดแสดงถึงความสับสน แล้วก็การที่ไม่เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องเริ่มให้ถูกต้อง เพราะเหตุว่ามีบุญมาแล้ว จึงได้ฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้สะสมบุญต่อไปที่ว่า เป็นผู้ที่อดทนจริงๆ เพราะเหตุว่าพระธรรมไม่ใช่สิ่งซึ่งฟังแล้วเข้าใจทันที แล้วอีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าเข้าใจแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้จักธรรมที่ได้ฟังทันที เช่น ขณะนี้เป็นธรรม ทุกคนก็พูดตามกันได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลยซึ่งไม่ใช่ธรรม ต้องเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมเท่านั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็พูดซ้ำไปซ้ำมาได้ แต่ว่ารู้จักตัวธรรมจริงๆ ในขณะที่กำลังเห็น ในขณะที่กำลังได้ยิน ในขณะที่กำลังคิดนึก เรียกว่าทุกขณะในชีวิตว่า เป็นธรรมจริงๆ อย่างที่พูดหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจปัญญาต่างขั้นว่า ปัญญาขั้นฟัง เพียงฟังเรื่องของสภาพธรรม เพื่อเวลาที่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ไม่มีเรา แล้วก็เป็นแต่เพียงธรรม เป็นปัจจัยให้มีการระลึกลักษณะของปรมัตถธรรม เพราะว่าสภาพธรรมเป็นปรมัตถธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ในขณะนี้ทางตาที่กำลังเห็นก็เป็นปรมัตถธรรม ทางหูที่กำลังได้ยิน เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ความคิด ทุกอย่างเรียกว่าเป็นสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม แต่ว่าถ้ามีความจำอย่างมั่นคงว่า ไม่มีเรา แต่เป็นปรมัตถธรรม ก็จะทำให้มีการระลึกที่ลักษณะของปรมัตถ์

    เพราะฉะนั้นปัญญาขั้นฟังก็ขั้นหนึ่ง คือ ฟังเรื่องราว แต่ว่าสติยังไม่ได้ระลึกที่ ลักษณะของปรมัตถธรรม ส่วนปัญญาอีกขั้นหนึ่งซึ่งก็เป็นการศึกษา โดยสติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ตรงกับที่เคยเข้าใจ เพราะเหตุว่าตามที่เข้าใจว่ามีแต่นามธรรม และรูปธรรม แต่เวลาที่สติระลึก จะมีความรู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นเพียงนามธรรม คือเป็นธาตุรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กายหรือไม่

    นี่ก็จะเห็นได้ว่าต้องอาศัยการศึกษาอีกขั้นหนึ่ง คือ การศึกษาพร้อมสติที่ระลึก ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นเรื่องของความอดทนอย่างมากๆ อย่าทิ้งไปสู่ข้อปฏิบัติที่คิดว่าง่าย และรวดเร็ว แต่ว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นทุกคนก็คงจะไม่ลืมพระโอวาทปาติโมกข์ คือ ขันติ ความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง เป็นธรรมที่จะเผาความไม่รู้ ที่จะเผากิเลส ที่จะละคลายความไม่รู้ไปเรื่อยๆ

    อ.กฤษณา ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ ท่านอาจารย์ก็ได้บอกว่าเป็นเรื่องของบุญกรรมที่จะได้มาฟังพระธรรมที่ถูกต้อง แล้วก็จะต้องฟังด้วยความอดทนต่อไปอีก แล้วก็ท่านได้พูดถึงปัญญาต่างขั้น ตั้งแต่ขั้นฟังเรื่องราว สติยังไม่ได้ระลึก แล้วก็มาปัญญาอีกขั้นหนึ่งคือ ขั้นศึกษาโดยสติเกิดระลึกในสภาพนามธรรม และรูปธรรม


    หมายเลข 9087
    14 ส.ค. 2567