ทำไมพระอรหันต์ยังมีญาณวิปปยุตตจิต
อ.กฤษณา ดิฉันสงสัยที่ว่า ไม่ว่าพระอรหันต์ท่านจะกระทำกิจอะไรโดยพิจารณาหรือไม่พิจารณาก็ตาม แต่ว่าตามความเข้าใจดิฉันคิดว่า พระอรหันต์เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นไม่น่าจะมีมหากิริยาญาณวิปปยุตต์ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์สุจินต์มีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
ท่านอาจารย์ คือต้องพิจารณาถึงชีวิตประจำวันของคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก่อน แล้วก็ทีหลังจะได้ทราบว่า จะต่างกันอย่างไร สำหรับเราวันนี้ตื่นมาเป็นอกุศลจิตเสียส่วนใหญ่ ซึ่งพระอรหันต์ไม่มีแน่ นี่คือความต่างกัน แล้วสำหรับเราขณะใดที่อ่านหนังสือพิมพ์ หรือคุยกัน ขณะนั้นก็ไม่ใช่กุศลจิต ซึ่งพระอรหันต์ก็พูดก็คุย แต่ว่าเป็นกิริยาจิต
นี่คือระดับของความต่างกันของชีวิตประจำวันซึ่งดูเสมือนเหมือนกัน แต่ว่าด้วยสภาพของจิตที่ต่างกัน อย่างท่านพระมหาโมคคัลลานะท่านก็สนทนากับท่านพระสารีบุตร ไม่ว่าท่านเดินทางไปบิณฑบาต พบสิ่งใดมาท่านก็กลับมากราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ ก็พูดเหมือนอย่างเรา แต่ว่าจิตต่างกัน
เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันจะเห็นได้ว่า ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนเดิม แต่ว่าปัญญาเท่านั้นที่ต่าง เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ท่านดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท ไม่มีกิเลสใดๆ เหลือที่จะเกิดเป็นกิเลสประเภทหนึ่งประเภทใดทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นท่านก็มีชีวิตปกติเหมือนเดิม เหมือนก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ ตื่นขึ้นมาก็ทำกิจทุกอย่างตามเดิม เหมือนเรา แต่ว่าเราทำด้วยอกุศลจิต ถ้าขณะนั้นกุศลจิตไม่เกิด แต่สำหรับท่าน เมื่อไม่มีเชื้อที่จะให้อกุศลจิตใดๆ เกิด เพราะฉะนั้นการกระทำของท่านจึงเป็นมหากิริยา นอกจากขณะใดที่ท่านฟังธรรม แล้วก็สนทนาธรรม ไตร่ตรองธรรมเหมือนอย่างเรา ขณะที่ฟังธรรมก็เป็นกุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต ขณะที่เข้าใจก็เป็น ญาณสัมปยุตต์ คือ ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นของท่านในขณะที่ฟังไม่ใช่กุศลจิต เป็นกิริยาจิต แต่ว่าประกอบด้วยปัญญา ขณะที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นชีวิตธรรมดาปกติ แต่เพียงสภาพของจิตที่เป็นพื้นต่างกันที่ว่า ของเราเป็นอกุศลมากโดยตลอด แต่ของท่านไม่มีเลยทั้งกุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นก็เป็นกิริยาจิต
อ.กฤษณา คือดิฉันยังไม่ค่อยจะกระจ่างอีกนิดก็คือว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันของพระอรหันต์ ท่านก็ดำเดินไปตามปกติเหมือนกับปุถุชน
ท่านอาจารย์ ท่านตื่นขึ้นมาท่านก็ปฏิบัติสรีรกิจเหมือนอย่างเรา เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเรื่องที่ปัญญาจะต้องเกิด เพระว่าการกระทำของเราเป็นไปด้วยอกุศลจิต แต่ของท่านเมื่อไม่เป็นอกุศลจิต ไม่เป็นกุศลจิต ก็เป็นกิริยาจิตธรรมดาๆ
อ.กฤษณา ใช่ค่ะ คือ พระอรหันต์ ถูกต้อง ไม่มีอกุศลจิตแน่นอน แต่ว่าในขณะที่ท่านกระทำกิจวัตรประจำวัน แล้วเข้าใจว่าพระอรหันต์ท่านก็ต้องมีความเข้าใจในลักษณะของสภาพนามธรรมรูปธรรม แล้วทำไมปัญญาไม่เกิดร่วมด้วยกับมหากิริยาจิตนั้น
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าเกิดตลอด เหมือนเรา เราก็มีมหากุศลญาณสัมปยุตต์บ้าง ไม่ใช่ไม่มี แต่ว่าพื้นของเราเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นสำหรับท่านขณะใดที่เป็นมหากิริยาญาณสัมปยุตต์ ก็เป็น แต่ขณะใดที่ไม่ใช่มหากิริยาญาณสัมปยุตต์ ขณะนั้นก็เป็นมหากิริยาญาณวิปปยุตต์ เพราะว่าระดับของจิตต่างกัน ของเราทำปกติ ของท่านก็ทำปกติ แต่ของเราทำปกติด้วยอกุศลจิต แต่ของท่านทำเป็นปกติด้วยมหากิริยาจิตญาณวิปปยุตต์ ระดับต่างกันแล้ว จากอกุศล แล้วก็ไม่ใช่เป็นเพียงกุศลด้วย จากอกุศล และผ่านกุศล จนเป็นมหากิริยา แต่ว่าแม้อย่างนั้นขณะนั้นก็เป็นญาณวิปปยุตต์ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ขณะฟังธรรม ไม่ใช่ขณะที่เข้าใจธรรม ไม่ใช่ขณะที่อบรมเจริญ แล้วแต่ท่านที่เป็นเอตทัคคะ แต่ละท่าน อย่างท่านพระอนุรุทธะ ท่านก็มีจักขุทิพย์ ระหว่างนั้นก็เป็นมหากิริยาญาณสัมปยุตต์ แต่ถ้าไม่ใช่ระหว่างนั้นก็ต้องเป็นพื้นของจิตซึ่งเป็นมหากิริยาญาณวิปปยุตต์ สำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ยังเป็นกุศล เพราะยังจะต้องเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากข้างหน้า คือ การเกิดขึ้น แต่สำหรับท่านเมื่อไม่มีการเกิดอีกแล้ว ทุกอย่างที่กระทำแม้แต่เจตนานั้นก็เป็นมหากิริยา แล้วก็ส่วนใหญ่พื้นของจิตท่านขณะใดที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ก็ย่อมเป็นมหากิริยาญาณวิปปยุตต์