ชีวิตไม่พ้นเรื่องกรรมและผลของกรรม
อ.กฤษณา มีแสดงไว้ในหนังสืออภิธัมมัตถสังคหะ ก็คือว่าปัญญาทั้ง ๓ คือสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา จะเป็นปัญญาที่ก่อให้เกิด กัมมัสสกตาปัญญาด้วย
ท่านอาจารย์ นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย การที่จะเข้าใจเรื่อง ทุกคนมีกรรมเป็นของๆ ตน หรือว่ามีปัญญาที่ประจักษ์จริงๆ ว่า ทุกขณะที่มีชีวิตอยู่เป็นผลของกรรมส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราอาจจะพูดตามได้ว่า เราเกิดมาเพราะกรรม แล้วเราก็พูดตามได้ด้วย จากการศึกษาเรื่องของอเหตุกจิตว่า เมื่อเหตุมี ผลก็คือต้องมีวิบากจิต ซึ่งประกอบด้วยเหตุบ้าง ไม่ประกอบด้วยเหตุบ้าง วิบากจิตซึ่งไม่ประกอบด้วยเหตุ คือ ไม่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ก็คือขณะที่กำลังเห็น จักขุวิญญาณในขณะนี้ ทุกคนก็พิจารณาตามได้เพราะว่ากำลังเห็น ในขณะนี้เป็นผลของกรรม
นี่คือเรื่องราว นี่คือการฟัง แต่ว่ายังไม่ถึงความสมบูรณ์ที่จะประจักษ์ เพราะฉะนั้นการฟัง แล้วก็การพิจารณา จะทำให้ถึงความแจ่มแจ้งในเรื่องกรรมที่ว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่ใช่เพียงแต่พูดเฉยๆ
เพราะฉะนั้นถ้าพูดเฉยๆ วันนี้เราก็พูด พอได้อะไรมาที่ดี เราก็บอกนี้เป็นกุศลวิบาก เป็นผลของกุศลกรรม พออะไรเกิดขึ้นที่ไม่ดี เราก็บอกนี้เป็นผลของอกุศลกรรมวิบาก เป็นผลของอกุศลกรรม แต่ไม่ได้พิจารณาถึงว่า ความสมบูรณ์จริงๆ ที่จะรู้จักกรรม และผลของกรรม ไม่ใช่ขณะอื่นเลย ขณะที่กำลังเห็น ต้องขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ขณะที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึกลักษณะของสภาพที่กำลังเห็น ไม่มีทางที่จะเข้าใจในเรื่องของกรรม และวิบากโดยลักษณะ แต่ว่าจะเข้าใจโดยชื่อ
เพราะฉะนั้นการอบรมสุตมยปัญญาก็ดี จินตามยปัญญาก็ดี ภาวนามยปัญญาก็ดี จะทำให้ถึงความสำบูรณ์ของการมีความเชื่อมั่นคง มีความประจักษ์แจ้งเข้าใจได้ว่า จิตที่เห็นขณะนี้เกิดขึ้นเพราะปัจจัย ซึ่งมีกรรมเป็นปัจจัย เพราะแม้แต่จักขุปสาทในขณะนี้ก็เกิดเพราะกรรม ถ้าไม่มีกรรมเป็นปัจจัยให้จักขุปสาทเกิด จิตเห็นขณะนี้ก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคนสามารถที่จะเกิดปัญญาที่รู้ลักษณะของจิตที่กำลังปรากฏ โดยเห็น โดยได้ยิน พวกนี้ ก็จะรู้ได้ว่า จิตที่เป็นวิบากเป็นผลของกรรม คือขณะนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นเรา หรือเป็นเรื่องราว แต่สามารถที่จะรู้จริงๆ ว่า จิตประเภทวิบากเป็นอย่างนี้