อัธยาศัยใหม่ในทางธรรม
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นความเข้าใจคือขณะนั้นสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เลือกไม่ได้ เลือกเมื่อไรก็คือความเป็นตัวตน และความไม่รู้ และโลภะ ความต้องการจะเข้าใจอย่างอื่น เวลาอื่นด้วย และถ้าตายขณะนั้นจะเข้าใจไหมคะว่า ไม่สามารถจะเข้าใจได้
อ.ประเชิญ เอาเวลาพวกนั้นมาฟังธรรม จะเป็นประโยชน์กว่า
ท่านอาจารย์ คิดไปเถอะ แต่ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ แล้วเมื่อไรสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ หลากหลายมาก ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลยว่า โลภะ ความเพลิดเพลินจะถึงระดับไหน โทสะ ความขุ่นเคือง ไม่มีใครสามารถรู้ขณะต่อไปได้เลย แต่ทุกขณะที่จะเกิดต้องมีปัจจัย และความเข้าใจถูกอาจหาญร่าเริงที่จะละอนุสัย ละโลภะ โทสะที่เกิดขึ้นในขณะนั้นด้วยความเป็นตัวตน แต่ปัญญาจะละอนุสัยกิเลส ขณะนั้นสามารถเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม โดยไม่หวั่นไหวเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิด ก็เกิดแล้ว แล้วก็รู้ด้วยวา เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย อย่างนี้ถูกไหมคะ หรือไปพยายามไม่ให้เกิด มีเรา คิดว่าเราเห็นโทษอย่างนั้น เห็นโทษอย่างนี้ แต่ปัญญาอยู่ที่ไหน ขณะนั้นสภาพธรรมก็เกิดดับไป โดยไม่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนั้นได้
จะเลือกเอาอย่างไหน ก็ไม่พ้นจากความเป็นทาสของโลภะ จะไม่รู้สึกเลยถึงความต่างกันของขณะใดที่พ้นจากโลภะ โลภะไม่ครอบงำ ตรงกันข้ามกับถูกโลภะครอบงำให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ โดยไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นไม่ใช่ความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้ววันไหนจะเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลที่เกิดขณะนี้ก็สามารถเข้าใจได้ตามปกติ
เพราะฉะนั้น ไม่ลืมเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญปัญญารู้ความจริงของสิ่งที่เกิดแล้วในขณะนี้จึงปรากฏ เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ ต้องอาจหาญร่าเริงที่สามารถเข้าถึงการดับอนุสัยกิเลส ไม่ใช่เพียงแต่โลภะเป็นอย่างนี้ เราก็จะทำอย่างนั้น แต่ถ้าใครจะทำ ไม่ใช่เพราะอยากหรือต้องการ แต่ขณะนั้นสามารถเข้าใจได้ว่า ขณะนั้นมีปัจจัยให้ทำอย่างนั้น
จากคนที่เคยอ่านหนังสือเรื่องบันเทิงต่างๆ อาจจะเป็นเรื่องตลก การ์ตูน ก็แล้วแต่ตามอุปนิสัย ก็ค่อยๆ หายไป เป็นการอ่านพระไตรปิฎก และอรรถกถา โดยไม่ใช่จงใจ แต่สะสมอัธยาศัยใหม่ เป็นเหตุปัจจัยให้มีหนังสือ ๒ เล่ม ก็หยิบพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา แทนที่จะหยิบหนังสือที่ทำให้เพลิดเพลินเหมือนแต่ก่อน
ทุกคนรับรองว่าดูโทรทัศน์ ดูอะไร บางคนดูข่าว บางคนดูละคร บางคนดูเกมส์ต่างๆ ตามอัธยาศัย ไม่ใช่จะบังคับเอาไว้ แล้วอนุสัยกิเลสที่มีก็ยังคงมี ไม่มีทางจะลดน้อยลงเลย เพราะความไม่อาจหาญที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย แม้คิดก็เป็นธรรม ก็ยังไม่รู้เลย แต่โลภะก็ทำให้คิดแล้วนำไปสู่ทางที่ไม่ใช่การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดแล้ว ก็จะข้ามการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดแล้วไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานจึงมีข้อความว่า เป็นผู้มีปกติ ปกติจริงๆ เกิดแล้วนี่ จะไม่เป็นปกติได้อย่างไร ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วว่า เพราะมีปัจจัยจริงๆ สิ่งนั้นจึงได้เกิดขึ้น เข้าใจธรรมที่เกิดแล้ว คิดมีไหม เห็นมีไหม ชอบมีไหม แม้แต่ความคิดขณะนั้นที่หลากหลายก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่ทำให้คิดอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า กว่าจะเป็นผู้มีปกติเข้าใจสิ่งที่ปรากฏเพื่อละความติดข้อง ก็ต้องในขณะนี้ สิ่งที่ยังไม่เกิดก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็จะไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น จะเข้าใจถึงความหมายที่ว่า ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และไม่กังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น