จะเก็บโกรธไว้ทำไม


    ท่านอาจารย์ แค่คำว่า “อดทน” เท่านั้น ใครจะหายโกรธ หรือไม่โกรธได้ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงโดยประการทั้งปวงให้รู้จักความโกรธว่า มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วปัญญาที่สามารถเริ่มเข้าใจโทษของความโกรธ ก็จะค่อยๆ คลาย หรือว่าน้อยลง แต่ยังไม่ได้ดับหมดเป็นสมุจเฉท เพราะว่าปัญญารู้เพียงเท่านั้นไม่พอ ทั้งหมดขึ้นกับปัญญา

    ด้วยเหตุนี้ผู้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ก็เป็นผู้มีลาภอันประเสริฐที่จะเข้าใจว่า เหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ทุกชาติ ก็คือปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง แม้ว่าเราจะเอาพระไตรปิฎกมาอ่าน แต่ไม่เข้าใจ ก็ยังต้องโกรธ ใช่ไหมคะ แต่ถ้าพิจารณาไตร่ตรอง ความโกรธมีแน่นอน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทุกคนพิสูจน์ได้ แต่ดีไหมที่จะโกรธ ถ้าดี ก็โกรธต่อไป ก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่เพราะเหตุว่าโกรธแล้วไม่สบาย คนอื่นไม่เดือดร้อน อย่าลืม โดยมากก็อยากให้คนอื่นเป็นทุกข์เพราะความโกรธของเรา ทำให้เราแสดงกิริยาอาการต่างๆ เพราะหวังว่า ทุกข์จะเกิดกับเขาเพราะเราโกรธ เราโกรธใคร เราหวังดีกับคนนั้นหรือเปล่า ลองคิด บางคนถึงกับอยากให้อะไรๆ เกิดขึ้นกับเขา ร้ายอย่างนั้นของความโกรธ และความโกรธนั้นอยู่ที่ไหน และอยู่กับใคร มีมากหรือมีน้อย ถ้ามีมากขึ้นจะเป็นอย่างไร แค่โกรธนิดเดียวก็จะแย่แล้ว โกรธทั้งวัน จะเป็นอย่างไร และไม่ใช่วันเดียว ตื่นขึ้นมายังโกรธอีก ยังไม่ทำอะไร โกรธมาแล้ว สะสมไว้มากๆ อย่างนี้ ไม่เห็นโทษเลย

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง เห็นพระมหากรุณาไหมคะ แม้โทษเพียงเล็กน้อยก็ขออย่าให้ใครมีเลย ด้วยปัญญาที่สามารถเห็นสิ่งที่เป็นโทษว่าเป็นโทษ ใครจะหวังดีอย่างนี้ ถึงที่สุดคือ แม้ความทุกข์เพียงเล็กน้อย หรืออกุศลเพียงเล็กน้อย ก็แสดงให้เห็นจนสามารถค่อยๆ คลาย และดับได้เป็นสมุจเฉท

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่อยู่ที่คำ “อดทน” แต่อยู่ที่ความเข้าใจโทษจริงๆ ว่า คนอื่นสบาย จะหวังร้ายกับใคร ก็คนหวังร้ายนั่นแหละกำลังเป็นทุกข์ แต่คนที่ถูกหวังร้ายสบายมาก กำลังเป็นผลของกุศลวิบากก็ได้ อะไรก็ได้ แล้วเรื่องอะไรที่ต้องไปเดือดร้อน เรื่องอะไร เพราะไม่รู้

    เพราะฉะนั้น หนทางเดียวคือมีปัญญาที่จะรู้ว่า ธรรม ไม่ใช่เรา

    ธรรมมี ๒ ฝ่าย ธรรมที่เป็นกุศล ดีงามก็มี ธรรมที่ไม่ดีงาม เป็นอกุศลก็มี ถ้ามีปัญญา เลือกได้ไหม แต่ถ้าไม่มีมีปัญญา ก็ยังไม่เห็นโทษ บางคนคิดว่า ต้องมีอกุศล แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า อกุศลทั้งหลายที่มีเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย มากจนประมาณไม่ได้ ถ้าไม่เข้าใจธรรมที่จะทำให้คลายลงไป ไม่มีทางออกไปเลย เหมือนอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วไม่มีทางออกเลย ทุกข์แค่ไหน

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่ไม่เข้าใจธรรม และไม่เห็นโทษ และไม่เห็นความเป็นมิตรผู้ประเสริฐ กัลยาณมิตรของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ให้โทษกับใครเลย โกรธใครคะ คุณเผชิญ

    อ.ประเชิญ โกรธคนที่เขาพูดไม่ดี

    ท่านอาจารย์ ก็เขาพูดไม่ดี เรื่องอะไรของเรา ก็เขาพูดไม่ดี เราไม่ได้พูดไม่ดี เห็นไหมคะ เที่ยวเก็บความไม่ดีของคนอื่นมาไว้ในใจ ชอบด้วย ไม่เอาออกเสียที อภัยทานก็แล้ว อะไรๆ ก็แล้ว ต้องเป็นปัญญาที่สามารถเห็นความต่างๆ จริงๆ ทุกอย่าง ลองสังเกตดูว่า โกรธกับไม่โกรธ อภัยกับไม่อภัย จบเลยค่ะ พออภัย แต่พอไม่อภัย ไม่มีวันจบ ไม่มีทางเลย ตลอดชาติก็ได้

    นี่แสดงให้เห็นว่า ให้โทษเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่า อดทน อดทน อดทน แต่ไม่เข้าใจ ก็ไม่ได้ แต่ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริง แล้วอย่าลืมนะว่า ไม่ใช่ฟังเฉยๆ ฟังเพื่อจะสละอกุศล แล้วถ้าเข้าใจธรรมขณะใด ขณะนั้นก็ไม่โกรธ ใครที่ไม่ดี ลองคิดดูว่า เพราะเขาไม่รู้ใช่ไหม ถ้ารู้ เขายังอยากไม่ดีอยู่หรือเปล่า ถ้ารู้คือเห็นโทษ ก็ต้องไม่อยาก

    เพราะฉะนั้น คนนั้นไม่รู้ และโทษที่จะเกิดกับเขามากมายสักแค่ไหน ต้องเกิดแน่นอน เพราะเหตุมี แล้วเราก็ไปสงสารคนจน เราก็ไปสงสารคนตาบอด เราก็ไปสงสารคนประสบภัยน้ำท่วม ไฟไหม้ มาจากไหนคะ

    เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือเป็นมิตร และมีทางไหนที่จะทำให้เขามีความเห็นถูก ขณะนั้นเราไม่เดือดร้อนเลย


    หมายเลข 9115
    19 ก.พ. 2567