เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ


    ท่านอาจารย์ อย่างอื่นตั้งแต่เช้ามาที่เราตื่นเต้นดีใจกับทุกสิ่งทุกอย่างเรื่องอาหาร เรื่องเพื่อน หรือเรื่องอะไรก็ตามแต่ ความบันเทิงต่างๆ บางคนก็อาจจะดูโทรทัศน์เรื่องนั้นเรื่องนี้มา ไม่มีอะไรเหลือเลย จริงๆ แล้วไม่มีเลยสักขณะนอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา คิดถูกหรือคิดผิด ถ้าเข้าใจอย่างนี้ว่าแท้ที่จริงแล้วทั้งหมดที่ผ่านมาไม่มีอะไร หมด ไม่มีสาระ แต่ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วเราจะคิดไหมถ้าสมมติเราไม่ได้ฟัง แต่แค่คิดอย่างนี้ก็ไม่เหมือนกับเวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด แล้วมีการรู้ในลักษณะของสภาพธรรม ความเข้าใจธรรมตรงนั้นจะชัดเจนกว่าเพียงคิดว่าไม่มีอะไรเหลือเลยตั้งแต่เช้ามา เพียงแค่เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นถึงปัญญาที่ต่างระดับมาก กว่าที่จะถึงการรู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมแล้วยังถึงการที่จะรู้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เพียงชั่วขณะๆ ที่ปรากฏแล้วก็ไม่มีเหลือ เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราได้ฟังทั้งหมดก็จะเป็นสังขารขันธ์สะสมสืบต่ออยู่ในจิต แม้จะจากโลกนี้ไป จากทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ได้จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้คือกุศล และอกุศลที่กำลังสะสมอยู่ ไม่ว่าเราจะไปเกิดที่ไหนยังไงก็ตาม ก็จะมีปัจจัยที่ทำให้กุศลเกิดขึ้นหรืออกุศลเกิดขึ้น จะมีความเห็นถูกมากน้อยแค่ไหน จะมีความเห็นผิดบ้างก็ตามการสะสะสม

    เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ในการฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้รู้ว่าแม้แต่ความคิดถูกของแต่ละคนก็คิดถูกตามขั้นฟัง ตามขั้นพิจารณาหรือตามขั้นที่กำลังมีลักษณะนั้นปรากฏให้รู้ความจริงว่าไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งหมดที่เคยมีที่เคยมีแล้วตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ก็ไม่มี แล้วก็มีแต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่ก็คือการอบรมความมั่นคงในการที่จะเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏจนกว่าจะสามารถดับได้โดยโสตาปัตติมรรคจิต ซึ่งถ้ายังไม่ดับก็คือว่าต้องมีการฟัง แล้วก็มีการพิจารณาไตร่ตรอง แล้วก็มีความมั่นคงขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่ไปสู่หนทางที่ผิด


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 126


    หมายเลข 9125
    28 ส.ค. 2567