มนสิการ ๓ ประเภท
อ.วิชัย สำหรับมนสิการ ๓ อย่างก็มีอารัมมณปฏิปาทกมนสิการก็ทบทวนก็หมายถึงมนสิการเจตสิก เมื่อมนสิการเจตสิกเกิดขึ้นก็ต้องเป็นปัจจัยแก่จิตที่เกิดพร้อมกันรวมถึงเจตสิกด้วย โดยเป็นปัจจัยในการเกิดพร้อมกัน ฉะนั้นโดยลักษณะของมนสิการคือมุ่งตรงต่ออารมณ์คือใส่ใจสนใจต่ออารมณ์ที่ปรากฏขณะนั้น ส่วนวิถีปฏิปาทกมนสิการก็หมายถึงปัญจทวาราวัชชนจิตๆ เป็นวิถีจิตแรกทางปัญจทวารเช่นทางตาก่อนที่จักขุวิญญาณจะเกิดก็ต้องมีวิถีปฏิปาทกมนสิการก่อน เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจิตประเภทนี้ วิถีจิตทางตาก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ จักขุวิญญาณจะเกิดขึ้นต่อจากภวังคจิตไม่ได้ ต้องมีวิถีจิตแรกที่จะเป็นทางให้วิถีจิตหลังๆ เกิดขึ้นก็คือปัญจทวาราวัชชนจิต ถ้าทางตาเราจะเรียกตามทวารก็คือจักขุทวาราวัชชนจิต ส่วนชวนปฏิปาทกมนสิการก็หมายถึงเป็นจิตประเภทหนึ่งที่เป็นทางให้ชวนจิต คือเกิดก่อนชวนจิตจะเกิดขึ้นก็ได้แก่มโนทวาราวัชนนจิต ถ้ามโนทวาราวัชนนจิตเกิดทางปัญจทวารจะทำโวฏฐัพพนกิจ แต่ถ้าเกิดทางมโนทวารจะทำอาวัชชนกิจ ฉะนั้นการเกิดขึ้นของมโนทวาราวัชชนะแล้วแต่ว่าจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วทวารไหน เพราะเหตุว่ามโนทวาราวัชนนจิตเป็นวิถีจิตต้องอาศัยทางหรือทวารจึงเกิดขึ้นได้ เพราะเหตุว่าวิถีมุตตจิตคือจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตมีกี่ประเภท มี ๓ ประเภทก็คือปฏิสนธิ ๑ ภวังคจิต ๑ และก็จุติจิต ๑ ฉะนั้นจิตที่เหลือทั้งหมดเป็นวิถีจิตคือต้องอาศัยทวารอาศัยทางจึงจะเกิดขึ้นได้ มโนทวาราวัชชนจิตก็เช่นเดียวกันเป็นวิถีจิต ถ้าเกิดขึ้นทางปัญจทวารก็ทำโวฏฐัพพนกิจ ถ้าเกิดทางมโนทวารก็ทำอาวัชชนกิจ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นปัจจัยให้ชวนจิตเกิดขึ้น ก็แล้วแต่ว่าชวนจิตเมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นกุศลจิต อกุศลจิต หรือว่ากิริยาจิต
อ.ธีรพันธ์ ก็ย้ำบ่อยๆ ว่ามนสิการเจตสิกมี ๓ ก็พอที่จะเข้าใจ ก็คืออารัมมณปฏิปาทกมนสิการก็คือมนสิการเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภท จิตทุกชนิดจะต้องมีมนสิการเจตสิกเกิดขึ้นร่วมด้วยทำกิจการงานใส่ใจในอารมณ์นั้น มุ่งตรงต่ออารมณ์นั้นประการที่ ๒ วิถีปฏิปาทกมนสิการก็คือมนสิการที่เกิดกับจิตที่รำพึงถึงอารมณ์ทางปัญจทวารไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คือรู้ว่ามีอารมณ์มากระทบ หลังจากนั้นทวิปัญจวิญญาณเกิดขึ้นสืบต่อคือระลึกถึงอารมณ์นั้นนั่นเอง ประการที่ ๓ ชวนปฏิปาทกมนสิการ กระทำทางให้กุศล หรืออกุศล หรือกิริยาจิตของพระอรหันต์เกิดขึ้น กระทำทางก็คือเป็นบาท เป็นปาท ปาทก ก็คือเป็นบาทเป็นทางเท่านั้นเอง ไม่ได้มีผลอะไรเลยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ที่มา ...