จะคิดอะไรก็ตามการสะสม
ผู้ฟัง ถ้าบอกว่าทางสายกลางนั้นให้ไป จะบอกได้ไหมว่าทางนั้นเป็นสีลัพพตปรมาส ได้ไหม อยากให้อาจารย์ช่วยบอกข้อคิดในเรื่องพวกนักตรึกด้วยที่ทำให้เห็นผิด
ท่านอาจารย์ คุณสุรีย์ก็ใช้คำว่า “วิตก” และก็ “ตรึก” ถ้าภาษาธรรมดาก็คือ “คิด”ทุกคนคิดแล้วแต่ว่าสั่งสมมาในแสนโฏฏิกัปป์จะคิดยังไง และสำหรับเรื่องของผู้ที่ได้ฌาณก็คือไม่เว้น เราอาจจะเคยได้ฌาณมาแล้วหรือไม่เคยได้ ใครรู้ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย อาจจะได้ถึงเนวสัญญา นาสัญญายตนฌาณ แต่ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นถึงอรูปฌาณ รูปฌาณก็ตาม ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องความคิดนี่ไม่จำกัด เราเคยได้ฌาณมาแล้วแต่ปัจจุบันชาตินี่ไม่ได้ แต่เราก็มีความคิดที่เราสะสมมา เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่ช่างคิดจะคิดหลายอย่าง คนที่คิดมากมีไหม บางคนเขาก็บอกว่าเขาไม่ค่อยคิดหรอก คิดน้อยกว่าคนอื่นได้ไหม ได้หรือไม่ได้ ทำไมล่ะ ก็มีคนหลายจำพวกใช่ไหม พวกที่ไม่คิดอะไร ถามอะไรเขาก็บอกว่าเขาไม่คิด เขาไม่สนใจ เขาไม่รู้ก็ได้ แต่บางคนเรื่องเดียวก็คิดนาน คิดไม่ออกก็คิดอีก พยายามคิดอย่างโน้นคิดอย่างนี้ที่จะให้คิดให้ได้ก็มี เพราะฉะนั้นจึงมีพวกที่ช่างคิดคือ “นักตรึก” ก็จะคิดไปตามการคิดของเขาว่าอย่างพวกที่เคยได้อสัญญสัตตาพรหมอาจจะจุติมาเป็นมนุษย์ เขาก็อาจจะเกิดความคิดเหมือนกับว่าโลกนี้เกิดขึ้นมาลอยๆ จากการที่ไม่มีอะไรเลยก็มี คนที่คิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่มีเหตุไม่มีอะไรเลยก็ได้ หรือบางพวกก็อาจจะคิดว่าต้องมีผู้สร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงจะเกิดขึ้นมาได้ นี่ก็พวกนักคิด นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องของความคิดของแต่ละคน เราไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ได้ ถึงการสะสมก่อนๆ ว่าจะเกิดความคิดอย่างไร และก็จะเห็นตามความเป็นจริงอย่างชีวิตในพระไตรปิฎก อย่างท่านพระเทวทัต คิดที่จะบวชแต่ก็คิดอาฆาต และก็คิดแม้แต่พระผู้มีพระภาคเป็นปกติของพระองค์ก็ไปบอกว่า “ท่านไม่เคยมองดูท่านตรงๆ เลย” ก็ไปคิดอะไรอย่างนั้นใช่ไหม ก็สามารถที่จะคิดที่เป็นอกุศลนาๆ ประการก็ได้ เพราะฉะนั้นความคิดเป็นสิ่งที่เมื่อเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผู้นั้นก็จะรู้ว่าตามการสะสม
ที่มา ...