น่าสลดที่ไม่รู้


    ศึกษาเข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งนี้ถ้าไม่มีปัจจัยที่เหมาะสมที่จะให้เกิดเป็นอย่างนี้ก็เกิดเป็นอย่างนี้ไม่ได้ เพียงชั่วขณะสั้นๆ ที่เกิด ก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายปัจจัย อุปถัมภ์ เกื้อกูลให้เกิดขึ้น แล้วก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย สลดไหม แค่นี้เอง ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ก็คือแค่นี้เอง มีสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดเป็นอย่างนี้ไม่ได้ แล้วก็ดับหายไปเลย ไม่กลับมาให้รู้ ให้ศึกษา ให้เข้าใจ ต้องในขณะที่สิ่งนั้นยังมี จึงสามารถเข้าใจได้ว่า แท้ที่จริงลักษณะนี้ปรากฏ เพราะมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป จะต่างกับการที่เราต้องมีชื่อต่างๆ มากมาย แต่ไม่เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้ เพราะไม่มีเรา เห็นเป็นเห็น ดับแล้วหมดแล้ว เราอยู่ที่ไหน เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ฟังเพื่อเข้าใจความจริง เพื่อละ แต่ไม่ใช่เพื่อจำชื่อ หรือจำหัวข้อ ๔ บ้าง ๕ บ้าง ๒ บ้าง ๑๐ บ้าง ๗ บ้าง

    แต่การฟังมีประโยชน์ที่จะรู้ว่า ปัญญาของเราไม่สามารถจะรู้อย่างนั้นได้เลย ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงอนุเคราะห์ให้เห็นความละเอียดอย่างยิ่งว่า แม้สิ่งที่มีจริงเพียงหนึ่ง จะทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้นได้หลากหลายโดยประการทั้งปวง โดยความเป็นจริงของสิ่งนั้น เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ แค่นี้ที่เกิดขึ้นเห็น จะขาดจักขุปสาทที่ยังไม่ดับไม่ได้ แค่นี้มาแล้ว การที่จะรู้ว่า ไม่มีใครไปบันดาลให้เห็นเกิดขึ้นมาได้

    นี่ก็รวมสภาพธรรมอื่นทั้งหมด แต่ที่กล่าวถึงก็คือขณะนี้กำลังเห็น ก็ต้องมีจักขุปสาท แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย มิฉะนั้นจะเห็นไม่ได้เลย และในขณะที่เห็น ความละเอียดก็คือว่าต้องมีสภาพธรรมอื่นเป็นปัจจัยให้เห็น เพราะเห็นจะเลือกเกิดตามความพอใจได้ไหม แต่ต้องมีสภาพธรรมที่กระทบสิ่งนั้น และการกระทบไม่ได้หมายความว่า รูปกับรูปกระทบกัน แต่เป็นธาตุรู้กระทบสิ่งนั้น แต่เพียงกระทบ และมีจิตเห็นสิ่งนั้นที่สิ่งนั้นกำลังกระทบ พร้อมกับสภาพธรรมอื่นๆ อีกซึ่งไม่ได้ปรากฏ เช่น ความรู้สึก ความจำก็ต้องมี เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเพียงเท่านั้น แล้วก็ดับ หมดไปแล้ว แต่ปัจจัยที่ทำให้จิตเห็นมีมากกว่านั้นอีก ถ้าไม่มีการทำกรรมในอดีตที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง จะทำให้ธาตุรู้นั้นเกิดเห็นสิ่งที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ที่กระทบจักขุปสาทได้ไหม เพราะจักขุปสาทสามารถกระทบสิ่งที่กระทบได้ ซึ่งเป็นสภาพที่น่าพอใจก็มี ไม่น่าพอใจก็มี แต่ถ้าถึงวาระที่สิ่งที่ไม่น่าพอใจกระทบจักขุปสาท ต้องเป็นสิ่งที่ได้กระทำแล้วในอดีต เป็นความจงใจที่เป็นอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็ทำให้จิตเห็นเห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นผล

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีอดีตกรรมเป็นปัจจัย และไม่มีปัจจัยอื่นๆ อีกแม้จิตเห็นขณะนี้ก็เกิดไม่ได้ น่าสลดใจไหมคะว่า เท่านี้ก็ไม่รู้ตามความเป็นจริง และยังหลงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นเขาด้วย ใช่ไหมคะ เขาก็เห็น ไม่ใช่เห็นแต่เรา

    เพราะฉะนั้น ถ้ารู้จริงๆ ว่า เหมือนกันหมดเลย เป็นธาตุหรือเป็นธรรม ไม่ว่าเราจะเรียกว่าเขา หรือเรา หรือใครก็ตามแต่ จิตเห็นเป็นจิตเห็น งูเห็น นกเห็น คนเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็น ท่านพระเทวทัตเห็น เห็นเป็นเห็น ก็คือเป็นธรรม แล้วรู้อย่างนี้กับไม่รู้เลย หิริโอตตัปปะมีไหม ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องรู้เลย เห็นก็เห็น ก็แล้วไป

    นี่ก็คือไม่มีความละอายในความไม่รู้ และพอไม่รู้แล้วเป็นอย่างไรคะ ติดข้อง เดือดร้อนมากมาย มาจากเห็น มาจากได้ยินอีก ได้กลิ่นอีก ลิ้มรสอีก รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสอีก เดี๋ยวเจ็บตรงนั้น เดี๋ยวปวดตรงนี้ แล้วยังคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดนี้ทุกข์หรือสุข ควรจะมีต่อไปอีกหรือเปล่า ไม่มีไม่ได้หรอก เพราะมีแล้ว ก็ยังมี แล้วก็มีอยู่เรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะสามารถดับเหตุของการเกิด


    หมายเลข 9178
    19 ก.พ. 2567