พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อ - อามคันธดาบส


    การเข้าใจเรื่องข้อปฏิบัติผิด ไม่ได้มีเฉพาะในสมัยนี้ และไม่ใช่มีเฉพาะในสมัยที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ยังไม่ปรินิพพาน แม้ในสมัยของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ โน้น ก็มีการสะสมความเห็นผิด ความเข้าใจผิดใน ข้อปฏิบัติ

    ขอกล่าวถึงความเห็นผิด และการปฏิบัติหนทางที่ไม่ใช่ทางดับกิเลส ซึ่งสมัยนี้ก็มีความเห็นผิดว่า การที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะดับกิเลสนั้น ต้องไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งถ้าไม่ฟัง และไม่ศึกษาโดยละเอียด การเข้าใจธรรมผิดก็จะเป็นเหตุให้เข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ผิด และไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิด แม้ในเรื่องที่ท่านผู้ฟังอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าไม่ทำความเห็นให้ถูกต้อง ให้ตรงตามความเป็นจริง ก็จะกั้นการประพฤติปฏิบัติที่ถูก ที่จะทำให้สามารถดับกิเลสได้จริงๆ

    ปรมัตถโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต จูฬวรรคที่ ๒ อามคันธสูตรที่ ๒ มีข้อความว่า

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่า อามคันธะ ได้บรรพชาเป็นดาบสพร้อมกับมาณพ ๕๐๐ คน ได้สร้างอาศรมอยู่ในระหว่างหุบเขา บริโภคเผือกมัน และผลไม้ในป่า เวลาที่ขาดอาหารก็ทำให้ซูบผอม ร่างกายก็ผอมเหลือง แล้วชวนกันเข้าไปยังปัจจันตคาม คือ ในเขตของเมือง เพื่อที่จะเสพอาหารที่มีรสเค็ม รสเปรี้ยว เพื่อที่จะให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

    มนุษย์ทั้งหลายเมื่อได้เห็นดาบสเหล่านั้นแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสในดาบสเหล่านั้น นิมนต์ให้ฉันอาหาร ได้ถวายเตียง ตั่ง ภาชนะสำหรับบริโภค และน้ำมัน ทาเท้า เป็นต้น แก่ดาบสเหล่านั้นผู้ที่ทำภัตกิจเสร็จแล้ว และนิมนต์ให้อยู่ ณ ที่นั้น

    แม้ในวันที่ ๒ พวกมนุษย์ทั้งหลายก็ได้ถวายทานแก่ดาบสเหล่านั้น และได้ถวายทานวันละบ้านตามลำดับเรือนอีก ดาบสก็อยู่ในที่นั้นสิ้น ๔ เดือน มีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น เพราะได้เสพอาหารที่มีรสเปรี้ยว รสเค็ม ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น และได้บอกมนุษย์ทั้งหลายว่า พวกเราจะไป

    พวกมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้ถวายน้ำมัน และข้าวสาร เป็นต้น แก่ดาบสเหล่านั้น ดาบสเหล่านั้นก็ได้กลับไปอาศรมของตน ซึ่งดาบสเหล่านั้นก็ได้มาสู่เขตบ้านนั้นทุกๆ ปี เหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติมา และพวกมนุษย์เหล่านั้นก็ได้ตระเตรียมข้าวสาร และได้ถวายทานกับดาบสเหล่านั้นเป็นประจำ เหมือนเช่นทุกคราว

    สมัยต่อมา พระผู้มีพระภาคทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงแสดงธรรมจักรแล้วเสด็จไปยังเมืองสาวัตถีโดยลำดับ สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถีนั้น ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของดาบสเหล่านั้น จึงเสด็จออกจากเมืองสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลาย เสด็จจาริกไปจนถึงเขตบ้านนั้นโดยลำดับ

    เมื่อมนุษย์ทั้งหลายเห็นพระผู้มีพระภาคแล้ว ก็ได้ถวายมหาทาน พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่มนุษย์เหล่านั้น ด้วยพระธรรมเทศนานั้น มนุษย์เหล่านั้น บางพวกเป็นพระโสดาบัน บางพวกเป็นพระสกทาคามี และพระอนาคามี บางพวกได้บรรพชาอุปสมบทบรรลุเป็นพระอรหันต์ ต่อจากนั้นพระผู้มีพระภาคก็ได้เสด็จกลับมายังกรุงสาวัตถีเช่นเดิมอีก

    ต่อมาดาบสเหล่านั้นก็ได้เข้าไปสู่เขตบ้านนั้น คราวนี้พอมนุษย์ทั้งหลายเห็นพวกดาบสนั้นแล้ว ก็ไม่ได้ทำการโกลาหลเช่นกับในคราวก่อนๆ ดาบสเหล่านั้นก็ถามมนุษย์เหล่านั้นว่า เพราะอะไรพวกท่านจึงไม่เป็นเช่นคราวก่อน หมู่บ้านเหล่านี้ถูกลงอาชญาหรือหนอ หรือว่าประสบกับทุพภิกขภัย หรือว่ามีบรรพชิตบางรูปซึ่งสมบูรณ์ด้วยคุณ มีศีล เป็นต้น มากกว่าพวกเราได้มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้

    ก็เกิดความเฉลียวใจว่า เพราะอะไรจึงไม่ต้อนรับอย่างโกลาหลเหมือนที่เคย ซึ่งมนุษย์เหล่านั้นก็ได้เรียนให้ทราบว่า

    เขตบ้านนี้ไม่ได้ถูกลงอาชญา และไม่ได้ประสบทุพภิกขภัย แต่ว่าพระผู้มีพระ-ภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก ได้เสด็จมา ณ หมู่บ้านแห่งนี้

    เมื่ออามคันธดาบสได้ฟังอย่างนั้นแล้ว ก็ถามว่า

    คฤหบดี พวกท่านพูดว่า พุทโธ ดังนี้หรือ

    เป็นคำที่ยากที่จะได้ยิน เพราะไม่ใช่จะมีใครสามารถตรัสรู้เป็นพระอรหันต-สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ยินแม้คำว่า พุทโธ ก็เกิดปลาบปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง เพราะเป็นเสียง เป็นคำที่หาได้ยากในโลก

    และได้ถามพวกมนุษย์ทั้งหลายว่า

    พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเสวยกลิ่นดิบหรือหนอแล หรือว่าไม่เสวยกลิ่นดิบ

    พวกมนุษย์ทั้งหลายก็ถามว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อะไรคือกลิ่นดิบ

    อามคันธดาบสตอบว่า

    ดูก่อน คฤหบดีทั้งหลาย ปลา และเนื้อ ชื่อว่ากลิ่นดิบ

    มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเสวยปลา และเนื้อ

    บางท่านคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเรื่องให้พระภิกษุฉันปลา และเนื้อได้ แต่พระผู้มีพระภาคเองไม่เสวย บางคนเข้าใจอย่างนั้น คือ เข้าใจว่า ทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันปลา และเนื้อที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจได้ก็จริง แต่พระผู้มีพระภาคเอง ไม่เสวยปลา และเนื้อ เพราะฉะนั้น จาก อรรถกถา ปรมัตถโชติกา ท่านผู้ฟังจะได้ทราบว่า เมื่ออามคันธดาบสกล่าวถามพวกคฤหบดี คฤหบดีเหล่านั้นก็ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเสวยปลา และเนื้อ

    เมื่ออามคันธดาบสได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็เกิดเดือดร้อนใจ สงสัยว่า บุคคลผู้นั้นจะพึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ หรือว่าไม่พึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คือ มีความเชื่อมั่นว่า ผู้ที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไม่เสวยปลา และเนื้อ เพราะฉะนั้น เมื่อมีผู้บอกว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยปลา และเนื้อ ก็ทำให้เกิดความเดือดร้อนใจ สงสัยว่า ผู้นั้นจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ หรือเปล่า

    อามคันธดาบส ก็ได้ไปยังพระวิหารเชตะวัน ที่พระนครสาวัตถี พร้อมกับดาบสทั้งหลาย ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะเพื่อทรงแสดงธรรม ดาบสทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เป็นผู้นิ่ง ไม่ถวายบังคม ได้นั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง

    พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงพระมหากรุณาตรัสปราศรัย แสดงความชื่นชมกับดาบสเหล่านั้น โดยนัยว่า ท่านฤๅษีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพออดทนได้ละหรือ ดังนี้เป็นต้น


    หมายเลข 9179
    31 ธ.ค. 2566