โลภะที่มีกำลังและโลภะที่มีกำลังอ่อน
ผู้ฟัง ถ้าหากว่าเราไม่เชื่อ คือไม่อยากให้มีโลภะเกิดขึ้น ก็น่าจะทำให้คนเข้าใจความจริง เข้าใจธรรมมากขึ้น
ท่านอาจารย์ แล้วจิตที่กำลังคิดเรื่องนี้เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นโลภะ
ท่านอาจารย์ อันนี้คือสิ่งที่ ประโยชน์จากการศึกษาธรรม เราเรียนเรื่องทิฏฐิต่างๆ ขณะนี้เรากำลังมีความเห็นถูก มีการเห็นประโยชน์ในการศึกษาธรรม เพราะฉะนั้นความเห็นผิดอื่นนอกจากสักกายทิฏฐิ ก็เป็นเรื่องที่ไกลตัว เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ที่เราสามารถที่จะรู้จักสิ่งที่เราได้เรียนแล้ว คือเมื่อไหร่ เพราะว่าถ้าขณะใดก็ตามที่มีโลภะเกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยแต่ก็ยังมีโลภะ อย่างเวลาที่คุณวิจิตรกำลังพูดเรื่องนี้ ไม่ได้มีความเห็นผิดเรื่องโลก เรื่องธรรม เรื่องอะไรเลย แต่ขณะจิตที่กำลังกล่าวนั่นก็เป็นเรื่องของโลภะ ความติดข้องในเรื่องนั้น เพราะฉะนั้นก็จะได้ทราบว่า ในชีวิตประจำวันของเรา สามารถที่จะเห็นโลภะที่ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย และก็ไม่มีมานะเกิดร่วมด้วย ขณะใดที่ไม่รู้สึกว่ามีความสำคัญตน หรือว่ามีความไม่สบายเพราะเหตุว่าเกิดมาจากความสำคัญตน เพราะฉะนั้นชีวิตวันหนึ่งๆ ถ้าสามารถจะรู้ได้ ก็ควรที่จะสังเกตว่าโลภะที่เกิดขึ้นเป็นโลภะที่มีกำลังหรือไม่มีกำลัง คนอื่นบอกเราได้ไหม ไม่ได้ นอกจากเรา
ถ้าจะรับประทานอาหาร ไปร้านอาหาร เราอาจจะสั่งอาหาร ขณะนั้นเป็นอสังขาริกหรือสสังขาริก มีกำลังหรือไม่มีกำลัง เราสั่ง แต่บางทีก็ไม่รู้ว่าจะรับประทานอะไร พอคนอื่นเขาสั่งอาหารอย่างหนึ่งเราก็รู้สึกว่าก็คงจะอร่อยดี ขณะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ขณะนั้นก็ไม่มีกำลัง เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ เราก็จะเห็นชีวิตตามความเป็นจริงว่าขาดโลภะไม่ได้ แต่ว่าเป็นโลภะที่มีกำลังหรือว่าไม่มีกำลัง
มีภาพยนตร์หลายเรื่องใช่ไหมที่น่าดู ก็ไม่ได้ไปดูสักที มีกำลังไหม ไม่มี แต่ไม่ดูไม่ได้ ต้องดูด้วย วันนี้ เดี๋ยวนี้ หรืออะไรอย่างนั้นก็แล้วแต่ ขณะนั้นเราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพของโลภะที่มีกำลัง ประโยชน์ก็คือได้เห็นตัวเองตามความเป็นจริงว่า สะสมอะไรมาที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดโลภะประเภทไหน ถ้าสะสมประเภทหนึ่งประเภทใดก็จะเห็นชัดว่า เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดความพอใจเกิดขึ้นทันที ท่านที่เดินในห้างสรรพสินค้า ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะเห็นเสื้อตัวนี้สวย ยังไม่มีใครบอกหรือแนะนำ ขณะนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นโลภะ
ท่านอาจารย์ เป็นโลภะ ประเภทที่มีกำลังหรือไม่มีกำลัง เห็น แต่ว่าไม่เห็นว่าสวยเท่าไหร่ แต่เมื่อมีคนชักชวนมากๆ ก็ซื้อ ขณะนั้นก็จะเห็นได้ว่า จริงๆ แล้วก็คือชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นเราก็เริ่มจากสภาพธรรมที่สะสมมาที่จะเป็นโลภะ ส่วนใหญ่ที่เป็นอกุศล ขณะใดที่ไม่เป็นโทสะ ความรู้สึกไม่แช่มชื่น ไม่สบายใจเกิดขึ้น ส่วนใหญ่แม้แต่เรื่องที่คุณวิจิตรกล่าวถึง ขณะนั้นก็จะสังเกตรู้ได้จากความรู้สึกว่า ความรู้สึกนั้นไม่สบายใจหรือเปล่า ถ้าไม่สบายขณะนั้นไม่ใช่โลภะ ต้องเป็นโทสมูลจิต แต่ถ้าขณะนั้นเป็นความรู้สึกอุเบกขา คือ ไม่สุขไม่ทุกข์ อทุกขมสุขหรือว่าเป็นโสมนัส ขณะนั้นอกุศลประเภทนั้นก็ต้องเป็นโสมนัส แล้วก็มีกำลังหรือไม่มีกำลัง คนอื่นรู้ไม่ได้เลย นอกจากเราเอง
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็จะทำให้เห็นธรรม แต่ไม่ใช่เอาเราไปนั่งคิด ว่าแล้วตอนนี้เป็นอะไร นั่นคือการไปศึกษาเรื่องตัวเองแล้ว แทนที่จะศึกษาธรรม แต่ถ้าศึกษาธรรมก็คือรู้ว่าลักษณะของโลภะมีสองอย่าง คือสะสมมาที่จะมีความพอใจเกิดขึ้นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีกำลัง ไม่อาศัยการชักจูง ไม่มีการลังเล ขณะนั้นก็เป็นประเภทที่มีกำลัง แต่ถ้าเป็นโลภะ ชอบเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีกำลังมาก อาศัยการชักจูงก็กระทำสิ่งนั้นไป ขณะนั้นก็เป็นโลภะที่มีกำลังอ่อน
ที่มา ...