เป็นสภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ตอนหลับสนิทสบายไหม ต้องคิดแล้วใช่ไหม ไตร่ตรอง ทุกคนก็หลับทุกวัน ตอนหลับสนิท สบายไหม
ผู้ฟัง หลับสนิท ไม่ทราบว่าสบายหรือไม่สบาย
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะไม่มีอะไรปรากฏเลย นี่เป็นความน่าอัศจรรย์ของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ไม่ให้หลับก็ไม่ได้ ไม่ให้ตื่นก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นชีวิตทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายก็แสดงความเป็นอนัตตา แต่ถ้าไม่รู้จะไม่สามารถที่จะมีความหนักแน่น มั่นคง ในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม เพราะว่าทุกคนก็หลับแล้วก็ตื่น แล้วก็หลับ แล้วก็ตื่นตลอดชีวิตด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ เริ่มเข้าถึงความหมายของคำว่า “อนัตตา” ว่าขณะที่หลับสุขทุกข์ใดๆ ไม่ปรากฏ จะสบายหรือไม่สบายก็ไม่ปรากฏในขณะนั้น แล้วยังไงถึงต้องตื่น ใช่ไหม นี่คือการทบทวนสิ่งที่ได้ฟังมาแล้ว อีกนัยหนึ่ง คือนัยที่เป็นความเข้าใจของผู้ที่ฟัง แล้วก็ประมวลความเข้าใจมาว่า แล้วทำไมจึงตื่น หลับแล้วทำไมจึงตื่น
ผู้ฟัง ปกติแล้วเวลาเราหลับ กลางคืนหลับสนิทแล้วก็ไม่ฝัน ตื่นมาเราจะรู้สึกสดชื่นแล้วก็สบาย แล้วมันจะต่างกันกับการที่กลางคืนเราหลับไม่ค่อยสนิท หลับๆ ตื่นๆ พอตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าไม่สบายเหมือนกับว่ามันเพลีย แล้วก็มันทุกข์ แต่เมื่อกี้นี้ท่านอาจารย์กล่าวว่าตอนหลับ เราจะไม่รู้สึกเลยว่าเราสบายหรือไม่สบาย แต่ตามสภาพความเป็นจริง ตอนตื่นเรารู้สึกอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ตอนนี้เรายังไม่พูดถึงว่าตอนตื่นเรารู้สึกยังไง เพียงแต่ว่าเราหลับอยู่ แล้วทำไมต้องตื่น เห็นไหมว่าบังคับได้ไหม และอะไรที่ทำให้ตื่น ทำไมต้องตื่น วิบาก ใช่ไหม หมายความว่าเราไม่สามารถจะรู้ได้เลย เราพูดได้ว่ากรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก กรรมก็คือเจตนาเจตสิกที่เป็นกุศล และอกุศลที่สำเร็จในการกระทำที่จะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นได้ เพราะว่าถ้าเป็นเพียงกุศลเล็กๆ น้อยๆ ชอบอาหารหวานๆ จะสงเคราะห์ในกรรมอะไร ที่จะทำให้ปฏิสนธิเป็นอะไรก็ไม่ได้ ก็จะต้องเป็นอกุศลกรรมบถที่สำเร็จแล้ว เมื่อทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ไม่พอ ก็จะต้องถึงกาลซึ่งกรรมก็จะทำให้วิบากเกิดขึ้น บางคนก็ตื่น บางคนก็ไม่ตื่น ขณะที่มีเสียงกระทบกับโสตปสาท ทำไมคนหนึ่งตื่น ทำไมอีกคนหนึ่งไม่ตื่น ลองคิดดู เพราะเหตุว่าปสาทรูปมีอายุสั้นมาก ๑๗ ขณะจิต เสียง ก็มีอายุสั้นมาก เกิดดับเร็วมากทั้งสองอย่าง เพียงแค่มีอายุ ๑๗ ขณะจิต แต่คนหนึ่งตื่น เพราะเสียง อีกคนหนึ่งไม่ตื่น เพราะเสียง ทั้งๆ ที่มีโสตปสาทด้วยกัน แล้วก็มีเสียงด้วย แต่ว่าสำหรับคนที่กรรมถึงกาลที่จะให้ผล เห็นไหม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย นี่ก็คือแสดงชีวิตอย่างละเอียดแต่ละขณะ ซึ่งถ้ารู้ในความเป็นไปของสภาพของกรรม และผลของกรรม และกิเลส ซึ่งก็วนเวียนเป็นกิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ เราก็จะมีความเข้าใจมั่นคงในความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ฟังธรรมในชาติต่อๆ ไป ที่ไหนก็ตาม ก็สามารถที่จะฟังด้วยความเข้าใจถูกว่า สภาพธรรมทั้งหมดในขณะนี้ ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น
ที่มา ...