ฟังเพื่อความเห็นถูกว่าไม่มีเรา


    การสะสมของกิเลสที่มี ไม่ได้เคยจะหายไปเลย สะสมสืบต่อ เมื่อวานนี้ก็เป็นเรื่องพระสูตรที่ชื่อว่าปฐมสมุททสูตร แสดงถึงความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรๆ ไม่ใช่แม่น้ำลำคลอง ใหญ่มาก ถ้าเราเห็นมหาสมุทรน่ากลัวไหม กว้างสุดสายตา ลึกด้วย และมีอะไรอยู่ข้างในมหาสมุทรนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย มีภัยอันตรายหลายอย่าง แต่ว่าถ้าในวินัยของพระอริยะ มหาสมุทรที่เห็นด้วยตา ถ้าไม่มีจักขุปสาท จะมีการเห็นไหม การเห็นสิ่งใดๆ ก็ไม่เกิดขึ้นเลย แต่จักขุปสาทหรือจักขุไม่เคยสิ้นสุดเลย เมื่อมีกรรมที่จะทำให้เกิด ก็ต้องเกิด ทุกภพทุกชาติ อย่างในขณะนี้ กรรมเป็นปัจจัยให้จักขุปสาทรูปเกิดแล้วดับ แต่ก่อนจะดับก็กระทบกับสิ่งซึ่งเป็นสีสันวัณณะ เป็นรูปธาตุซึ่งเกิดจากแล้วแต่ว่าเกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร

    ความรู้ของเราจากการได้ฟังธรรม เมื่อเทียบแล้วน้อยนิดกว่าปัญญาที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด แม้แต่รูปที่กำลังปรากฏ เราก็ไม่รู้ว่าเกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ มหาสมุทรหรือเปล่า ของความไม่รู้ ในสิ่งซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมาก และเป็นไปตลอดชีวิต และก็ไม่ใช่ชาติเดียว เมื่อมีการเห็นแล้ว จักขุปสาทก็มีกรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิด แม้แต่การกระทบรูป และมีการเห็น การเห็นขณะนี้ก็กำลังเกิดดับ เร็วมาก แต่ขณะนั้นก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้หลังจากที่เห็นแล้วโดยที่เราไม่ต้องกล่าวถึงความละเอียดก็ได้ คือไม่ต้องกล่าวถึงสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ เกินวิสัยที่จะรู้ แต่เมื่อเห็นแล้วที่ทุกคนรู้ก็คือว่า ชอบหรือไม่ชอบในสิ่งที่เห็น มีกำลังจากการที่เกิดบ่อย เมื่อเห็นแล้วนี่ไม่รู้ตัวเลย ถ้าเป็นโลภะก็ติดข้องแล้ว กำลังของโลภะที่สะสมไว้อย่างมากมาย และรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว จะมากสักแค่ไหน ลองคิดดู ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง เพื่อให้รู้ความจริง ผู้ที่สนใจที่จะเข้าใจความจริงก็จะเป็นผู้ที่ตรง และสิ่งที่ไม่จริง ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ก็จะรู้ไปทำไม เพราะฉะนั้นเราก็ฟังในเรื่องของสิ่งที่มีจริง เพื่อที่จะรู้จักสิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเรา แต่ความจริงก็คือ นามธรรม และรูปธรรม คือ จิต เจตสิก รูป นั่นเอง เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมต้องรู้ ฟังด้วยความเบาสบาย ไม่ต้องไปกังวลว่าเราจะรู้มากรู้น้อย เมื่อไหร่จะถึง เมื่อไหร่สติปัฏฐานจะเกิด นั่นคือความเป็นเราทั้งหมด แต่ฟังเพราะว่า ก่อนจะได้ฟัง อย่างเมื่อเช้านี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะได้ฟัง ตีห้า หกโมงหรือว่าไม่ได้ฟัง แต่ก็ขณะนี้มีโอกาสได้ฟัง นี่ก็คือความต่างของขณะซึ่งพอที่จะเทียบได้ว่า ถ้าเป็นอกุศลก็วุ่นวาย ไม่รู้ มหาสมุทรของความไม่รู้มากมายเหลือเกิน จนกว่าจะถึงขณะที่มีโอกาสได้ฟังขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้าฟังก็ฟังด้วยความเบาสบาย ด้วยกุศล ไม่ต้องเดือดร้อนเลยที่จะจำ อย่างนั้นยังจำไม่ได้ หรือว่าอันนี้เป็นยังไง แต่ว่าให้รู้ว่าเรากำลังได้เข้าใจในสิ่งที่เราฟัง เพื่อเห็นถูกว่า ไม่มีเรา และเป็นสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 133


    หมายเลข 9197
    28 ส.ค. 2567