พระธรรมเปลี่ยนชีวิต


    ชีวิตที่แล้วมาของแต่ละคนเป็นอย่างไรคะก่อนฟังพระธรรม สนุกสนาน หรือทุกข์โศกมากมาย เรื่องต่างๆ แต่ละหนึ่ง ไม่มีซ้ำกันเลย เพราะแม้แต่คนหนึ่ง จิตหนึ่งดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ไม่ใช่จิตเก่า แต่สืบเนื่องมาจากจิตเก่า

    เพราะฉะนั้น วันนี้ก็มาตั้งแต่เกิด และตั้งแต่เกิดก็ถอยไปถึงชาติต่างๆ จนกระทั่งถึงความเป็นบุคคลนี้ และจนกระทั่งถึงวันนี้

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ก่อนฟังธรรม เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดหรือเปล่า แต่เมื่อฟังธรรมแล้ว อะไรทำให้เข้าใจถูกในสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย แม้แต่โลก โลกก่อนเป็นอย่างไร เต็มไปด้วยเรื่องราว บุคคล ความติดข้อง ความทุกข์ ความโศก หรือความปรารถนา ความตั้งใจที่จะช่วยเหลือใคร หรือทำอะไรก็แล้วแต่ แต่เป็นโลกของความไม่รู้เลย กับเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว เป็นอีกชีวิตหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงจากไม่รู้เป็นเข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วทุกอย่างที่มี ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้ หรือจะให้เป็นการตั้งใจทำให้เกิดขึ้น หรือให้ความปรารถนาสำเร็จไปด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน ก็คือขณะนี้ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    ก็มีท่านผู้หนึ่งคิดว่า ท่านจะไปเที่ยว แต่แล้วก็ไม่ได้ไป กลับมาฟังธรรม เห็นความเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรที่จะบังคับบัญชาได้เลย คิด คิดได้ แต่อะไรจะเกิดขึ้น ต้องเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น

    ณ วันนี้ เดี๋ยวนี้ของแต่ละคนก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ก็เริ่มเข้าใจโลกของความมืดซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ บุคคล โลก สิ่งของต่างๆ มากมาย มาเหลือหนึ่งขณะจิต ใครปฏิเสธได้ว่า ถ้าไม่มีจิตแม้เพียงหนึ่งขณะนี้ อะไรๆ ก็ไม่มี จะไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าเพียงจิตหนึ่งขณะไม่เกิดขึ้น แต่เพราะเหตุว่าจิตหนึ่งขณะเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดจึงปรากฏ และจิตเพียงหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นใครทำ หรือว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เหมือนกับธาตุที่เกิดแข็ง ก็เป็นแข็ง จะเป็นอื่นไม่ได้ ธาตุร้อนเกิดขึ้นร้อน ก็จะเปลี่ยนเป็นหวาน เป็นขมไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งก็เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครจะบอกว่าไม่มีได้ไหม ในเมื่อมีแล้ว และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย จะบอกว่าเห็นไม่มีได้ไหม ก็กำลังเห็น เห็นมีแล้ว แต่ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย แต่เห็นก็เกิดแล้ว ทุกคนกำลังคิด ใครทำให้คิดเกิดขึ้น ทำไม่ได้เลย คิดเกิดแล้ว

    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเกิดแล้วทั้งนั้น โดยไม่มีใครทำ เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจความจริง โลกทั้งหมดจะปรากฏไม่ได้เลย ถ้าไม่มีธาตุรู้ คือ จิต นามธาตุซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังรู้ว่าเป็นคนนั้น กำลังไม่ชอบคนนี้ กำลังเป็นทุกข์ต่างๆ ก็คือแต่ละหนึ่งของสภาพธรรมซี่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปสืบต่อจนกระทั่งยึดถือว่าเป็นเรามานานแสนนาน จนกว่าจะได้ฟังธรรม ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรจากเดิมที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย ก็มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องตามควร

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นธรรมทานที่ให้ชีวิต เปลี่ยนจากความไม่รู้เป็นความเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ตามกำลังของปัญญาที่มีโอกาสได้ฟังธรรมแล้วได้ไตร่ตรองธรรม จะไปขอให้มีปัญญามากๆ เมื่อไรจะเข้าใจอย่างนี้ เมื่อไรจะรู้ความจริง การเกิดดับ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เป็นแต่เพียงความคิด ความหวัง ซึ่งไม่มีเหตุสมควรที่จะเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ใครไม่เปลี่ยนบ้างหลังจากได้ฟังธรรม มากน้อยแค่ไหน แล้วแต่กำลังของปัญญา แล้วจะเห็นด้วยว่า ไม่ต้องหวังที่จะหมดกิเลส หมดได้อย่างไร แค่รู้ว่าเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดแล้วก็ดับไป ยังไม่รู้เลย แล้วจะหวังดับกิเลสได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น การฟังแต่ละครั้ง ก็เพื่อสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก แล้วคนนั้นก็จะรู้ได้ว่า เพราะความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจึงละคลายความติดข้องที่เคยไม่รู้ และเคยติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น ชีวิตของผู้ที่ได้เข้าใจธรรมกับชีวิตของผู้ยังไม่ได้เข้าใจธรรมก็ต่างกันมากน้อยตามควร


    หมายเลข 9207
    19 ก.พ. 2567