ตรงต่อความจริง
ผู้ฟัง อาจารย์ครับสำหรับในเรื่องที่ว่าตามรักษาจิต อาจารย์ขยายความส่วนนี้พอจะให้เข้าใจในเรื่องของการรักษาจิต เพราะฟังมันเรื่องง่ายๆ แต่ทางปฏิบัติจริงๆ ลึกซึ้งแค่ไหน อาจารย์ช่วยกรุณา
ท่านอาจารย์ ความสำคัญอยู่ที่ว่า รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ธรรมเป็นเรื่องจริง แล้วก็เป็นเรื่องตรง เมื่อไม่รู้คือไม่รู้ เมื่อไม่เข้าใจคือยังไม่เข้าใจ เมื่อฟังแล้วเริ่มเข้าใจ คือเริ่มเข้าใจขึ้น ไม่ต้องไปคิดถึงว่า อยากมีสติมากๆ หรือว่าอยากจะเป็นอย่างท่านผู้นั้น เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นไปไม่ได้ก็คือตัวจริง ความจริงเป็นอย่างไร ก็เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ อย่างนั้น แล้วก็ค่อยๆ อบรมความรู้ความเข้าใจตรงตามความเป็นจริงของตนเองขึ้น ไม่มีการเปรียบเทียบว่า คนโน้นทำไมเข้าใจเยอะแยะ หรือว่าอะไรอย่างนี้ แต่ละบุคคลก็ต่างกัน คนนี้อาจจะเข้าใจส่วนนี้ แต่ไม่เข้าใจส่วนนั้นก็ได้
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าจำเป็นที่จะต้องเหมือนกัน หรือว่าอยากจะเหมือนคนนั้น หรือว่าอยากจะเหมือนคนนี้ ถ้าอยากจะเหมือนพระอรหันต์มีทางเดียว คือ อบรมปัญญาจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ เมื่ออยากจะเหมือนพระโสดาบัน ก็ต้องมีทางเดียวเหมือนกัน คือ อบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะเป็นพระโสดาบัน แต่ว่าถ้าไม่มีเหตุเลย หรือว่าไม่สนใจในเรื่องของปัญญาเลย เพราะว่าบางคนก็ยังคิดว่า ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร เพราะชีวิตของเขาไม่มีปัญหา แล้วเขาก็ศึกษาธรรมพอจะเข้าใจบ้างแล้ว เขาก็เลยกลายเป็นคนเฉื่อยๆ ชาๆ เหมือนกับว่าพอแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่มีการพอเลย ข้อความในพระไตรปิฎกหรือในอรรถกถา ซึ่งทุกท่านที่นี่พร้อมที่จะอ่านได้แล้ว ถ้ามีความเข้าใจเรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องรูป เริ่มอ่านพระไตรปิฎก และอรรถกถาได้ แล้วถ้ามีความสงสัยก็แสดงว่า สิ่งที่เราฟังมายังไม่พอที่จะเข้าใจส่วนนั้น ตอนนั้น
เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังตามลำดับอีกต่อไปเพื่อที่จะได้เข้าใจส่วนนั้น แต่ว่าดีค่ะ ถ้าอ่านแล้วจะได้เข้าใจว่า ความเข้าใจขั้นไหน เพราะว่าส่วนใหญ่บางทีอ่านพระสูตร รู้สึกเหมือนกับพระธรรมไม่ยากเลย บางคนก็ชอบพระสูตร เพราะเหตุว่าไม่มีเรื่องจิตกี่ดวง เจตสิกกี่ดวง ชื่อต่างๆ พวกนี้ แล้วก็คิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ความจริงในพระสูตรทั้งหมดเป็นพระอภิธรรม ต้องเป็นเรื่องของจิต ต้องเป็นเรื่องของเจตสิก ต้องเป็นเรื่องของรูป ต้องเป็นเรื่องของพระนิพพาน
เพราะฉะนั้นถ้ามีข้อความสั้นๆ ว่า โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอกุศล ไม่ดี จงละเสีย แค่นี้ฟังเพราะ ก็รู้ว่า โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ดี ก็ละเสีย แต่ละอย่างไร ไม่มีทางเลยที่จะละ ให้ละ เป็นไปไม่ได้ ถ้าปัญญาไม่เกิดขึ้น แล้วกว่าปัญญาจะเกิด โดยเฉพาะปัญญาของคนยุคนี้สมัยนี้ ซึ่งไม่ใช่อุคฆติตัญญูบุคคล ไม่ใช่วิปจิตัญญูบุคคล และจะเป็นเนยยบุคคลหรือไม่เป็น แต่ละคนรู้ดี ตามความเป็นจริง เนยยบุคคล คือ ผู้ที่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในชาตินี้ ถ้าไม่สามารถก็เป็นปทปรมบุคคล เพราะฉะนั้น ทุกคนก็เป็นตัวเองจริงๆ แล้วก็ตรงต่อความจริงด้วย จึงจะเข้าถึงธรรมด้วย
ผู้ฟัง ตัวของเราต้องพิจารณาตัวเองเสมอว่า เราจะไปเหมือนคนอื่นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความเข้าใจที่เราไปตั้งความหวังของเรา
ท่านอาจารย์ ประโยชน์สูงสุด คือ ไม่มีตัว ทั้งเรา ทั้งเขา มีแต่ธรรม เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจของเราน้อยนิดสักแค่ไหน เมื่อเทียบกับเมื่อฟังสิ่งซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่สำหรับขณะที่เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ต่างๆ ยังไม่ได้เป็นธรรม เป็นเรื่อง เป็นราวของสีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่เรื่องราวของเสียงที่ปรากฏทางหู นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้ธรรมมี กำลังเผชิญหน้า กำลังเห็น แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ความจริงของธรรมได้
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นเรื่องการมีโอกาสได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นสัจธรรม มีโอกาสที่จะรู้ว่า ความจริงเป็นอะไร ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้น โมหะ อวิชชา กิเลสมากมายสักแค่ไหน ความจริงที่จะต้องมีต่อไปก็คือว่า เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็เพิ่ม อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนกว่าจะถึงวันนั้น ช้าหรือเร็ว ไม่สำคัญเลย เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องจริงที่จะต้องรู้ตามความเป็นจริง