จนกว่าจะถึงอรหัตตมรรค
ผู้ฟัง ขอกราบเรียนถามนะครับ เหตุคงดับไม่ได้ แต่รู้ได้ แต่เมื่อรู้แล้ว ก็ไม่ยึดถือเหตุนั้น เมื่อไม่ยึดถือเหตุนั้น โลภะก็ไม่มีอำนาจที่จะให้เป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ได้
ท่านอาจารย์ ต้องดับได้ค่ะ ถ้าดับไม่ได้ ก็ต้องเกิดไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง ดับได้นะครับ อย่างพระพุทธองค์ที่ตรัสรู้ หมายความว่าไม่เกิดเลยในชวนจิต ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่เกิดเลย หมายความว่าจิตทุกขณะมีปัจจัย จนถึงขณะจิตสุดท้ายของพระอรหันต์ จึงจะไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดต่อไปได้ แต่ถ้าจิตขณะหนึ่งเกิดขึ้น และดับไป การดับไปของจิตดวงก่อน เป็นปัจจัยที่จะให้จิตขณะต่อไปเกิดเรื่อยๆ ในสังสารวัฏฏ์ ถ้าย้อนไปจากขณะนี้ จนกระทั่งถึงเราเกิดขณะแรก ก็จะเห็นได้ว่านับไม่ถ้วนเลย แต่ว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ แต่ในขณะหนึ่ง จะมีอะไรบ้างมากมายสะสมอยู่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะทำให้แต่ละขณะ ซึ่งสืบต่อ ผ่านเหตุการณ์แต่ละขณะ แต่ละวัน จนถึงขณะปัจจุบันนี้ ซึ่งจิตก็ยังคงเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ และก็ดับ และก็สืบต่อไป ถ้าชาตินี้ยังมีปัจจัยที่จะให้เกิดต่อไปในชาติหน้า หลังจากปฏิสนธิเกิด ต่อจากจุติจิตของชาตินี้แล้ว ก็ไปถึงจุติจิตของชาติหน้าอีก ก็เป็นปฏิสนธิ จุติไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจิตขณะสุดท้าย คือ จุติจิตของพระอรหันต์
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นจะไม่แย้งกับเรื่องของมรรคหรือ ว่าสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ หมายความว่าเมื่อรู้แล้ว จึงมีความเห็นชอบเกิดขึ้น หรือว่ารู้แล้วไม่เกิด หรืออย่างไร
ท่านอาจารย์ เวลาที่เกิดความเห็นถูกขึ้นขณะหนึ่งๆ ให้ทราบว่าขณะนั้น ละความเห็นผิดด้วย ไม่ใช่มีแต่ความเห็นถูกอย่างเดียว แต่หมายความว่าหน้าที่ของปัญญา คือ ความเห็นถูกนั้น ละความเห็นผิด เพราะฉะนั้นเมื่ออบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งถึงความสมบูรณ์ ที่จะเป็นพระอริยบุคคล โสตาปัตติมรรคจิตเกิด ก็ดับความเห็นผิด ซึ่งเป็นทิฏฐิเจตสิกไม่เกิดอีกเลย เป็นสมุจเฉท เป็นพระอริยบุคคล และเมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อๆ ไป ก็ดับกิเลสไปตามลำดับขั้น จนถึงอรหัตตมรรค ก็ดับกิเลสหมด