โทสะไม่เกิดในพรหมโลก
ผู้ฟัง ถ้าหากว่ากามาวจรจิตจะมารับอารมณ์ของรูปาวจรจิตจะได้ไหม เพราะว่าในการทำฌาน จะต้องมีอะไรเพ่งกสิณ อย่างเช่น ปฐวีกสิณ ปฐวี ก็ดิน ดินก็เป็นกามอารมณ์ ดิฉันยังสับสน อยากจะขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายอารมณ์ของ กามาวจรจิต
อ.สมพร พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกจิตออกเป็น ๔ ประเภท จิตชั้นต่ำ เรียกว่า หีนจิต คือ ภูมิกามาวจรจิต จิตที่สูงขึ้น จิตของพวกได้ฌาน คือ รูปฌาน เรียกว่ารูปาวจรจิต ในฌานที่ประณีตขึ้น อรูปาวจรจิต จิตของพระอริยะที่บรรลุโลกุตตระแล้ว เรียกว่า โลกุตตรจิต จิตทั้งหมดนี้เป็นพวกๆ ไม่ปะปนกัน จิตที่เป็นกามาวจรจิต จิตที่ท่องเที่ยวไปในกาม คำว่ากามาวจร ตัดบทเป็น กาม อวจร แล้วก็จิต จิตท่องเที่ยวไปในกาม
อีกนัยหนึ่ง คำว่า กามาวจรจิต จิตนี้เป็นที่ท่องเที่ยวของกามตัณหา กามตัณหา เช่น เราปรารถนาอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง อยากได้รูปที่สวย เสียงที่เพราะ กลิ่นที่หอม เป็นต้น นี่คือตัณหา ตัณหาเป็นที่ท่องเที่ยวไปในจิตนี้ อย่างนี้ท่านก็เรียกว่า กามาวจรจิต จิตนั้นต้องเป็นพวกๆ แน่ครับ ไม่คละกัน ไม่ปะปนกัน จิตทั้งหมดมี ๔ ชาติเท่านั้นเอง
ผู้ฟัง ที่ว่า กามาวจรจิต คือ จิตที่ท่องเที่ยวไปในกาม คำว่าท่องเที่ยวนี้หมายความว่า ไปรับอารมณ์ หรือไปล่องลอยเที่ยวอยู่ในอะไร
อ.สมพร ท่องเที่ยวนี้เป็นปัญหา คำว่าท่องเที่ยว คือ เป็นอารมณ์
ผู้ฟัง เป็นอารมณ์ ใช่ไหมคะ
อ.สมพร จิตที่มีกามเป็นอารมณ์ กาม มีความหมาย ๒ อย่าง กามคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เรียกว่าวัตถุกาม กามอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า กามตัณหา คือกิเลสกาม
ผู้ฟัง แล้วที่เขาท่องเที่ยวไปในกามอารมณ์ ถ้าเขาจะข้ามขั้นไปท่องเที่ยวในรูปาวจรภูมิจะได้ไหม พวกกามาวจรจิต มีบ้างไหม
อ.สมพร จิตที่เป็นกามาวจรจิต ท่านเรียกว่า ปริตจิตนั้น จะเป็นอัปปนาจิตไม่ได้ แต่ว่าเป็นปัจจัย
ผู้ฟัง คือจะไปเกิดในรูปภูมิบ้างได้ไหม กามาวจรจิต
อ.สมพร ไม่ใช่ที่เกิดของกามาวจรจิต แต่ว่ากามาวจรจิต เช่น โลภะเป็นต้น สามารถจะเกิดในภูมิอื่นได้ นอกจากภูมิของตน
ผู้ฟัง ในรูปาวจรภูมิ โลภมูลจิตก็เกิดได้
อ.สมพร เกิดได้ในรูปาวจรจิต
ผู้ฟัง โลภมูลจิตที่เป็นกามาวจรจิตก็แสดงว่า กามาวจรจิตข้ามระดับขั้น ไปเที่ยวอยู่ในรูปาวจรภูมิได้
อ.สมพร ไปท่องเที่ยวอยู่ในภูมิ ในพรหมโลก
ผู้ฟัง แสดงว่าในพรหมโลก ก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะพวกฌานจิตเหล่านี้ มีกามวจรจิต เช่นโลภมูลจิตก็เกิดได้
อ.สมพร พวกที่ได้ฌานแล้วไปเกิดในพรหมโลก ขณะนั้นไม่ได้เข้าฌานก็ไม่ได้ฌานเลย ไม่มีฌาน นอกจากว่าไปเกิดในพรหมโลกแล้วก็เข้าฌาน จึงเรียกว่ารูปาวจรจิต
ผู้ฟัง รูปาวจรพรหมบุคคล รูปพรหมบุคคล เวลาเขาอยู่ในรูปภูมิ ไม่ได้หมายความว่าเขาทำฌานตลอดเวลาหรือคะ
อ.สมพร ไม่ได้ทำฌานตลอดเวลา ทำฌานเฉพาะคนที่เขาสนใจ บางคนไม่สนใจ หมดจากวิบากกรรมนั้นแล้ว ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
ผู้ฟัง แล้วขณะที่เกิดอยู่ในรูปพรหมภูมิ เขาไม่ได้ทำฌานตลอดเวลา แล้วจิตเขา จะรับอารมณ์อะไร
อ.สมพร ก็มีโลภะ
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นกามอารมณ์ก็เกิดได้ในรูปาวจรภูมิ ใช่ไหมคะ
อ.สมพร เรียกว่าท่องเที่ยวไปในพรหมโลก ในรูปภพได้ แต่ว่าไม่ใช่ที่เกิดโดยตรงของเขา เป็นอาศัยเหมือนท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวไป
ผู้ฟัง ก็แสดว่าในรูปาวจรภูมิ มีอารมณ์ให้โลภมูลจิตเกิดได้
อ.สมพร มีอารมณ์ให้จิตชั้นต่ำคือ โลภมูลจิตเกิดได้
ผู้ฟัง เขาจะเกิดโลภมูลจิตเกี่ยวกับเรื่องอะไร อยู่ในรูปพรหมภูมิ น่าจะ สงบๆ มาเกิดโลภะในเรื่องอะไร ยกตัวอย่างได้ไหมคะ
อ.สมพร โลภะเกิดได้ทุกหนทุกแห่ง แม้พระอริยบุคคลยังเกิดได้ เช่นพระอนาคามี
ผู้ฟัง ถ้าเผื่อว่า รูปพรหมบุคคลเกิด โกรธขึ้นมา จะเสื่อมทันที หรืออย่างไรคะหรือว่าไม่เกิด
อ.สมพร ไม่มีครับ ไม่มีโทสะ ไม่มีความโกรธ
ผู้ฟัง หรือคะ แล้วเขาจะจุติมาเกิดในมนุษย์ภูมิ โดยเหตุอะไรถ้าเขาไม่เกิดโทสะ
อ.สมพร หมดวิบากกรรมอันนั้นแล้ว
ผู้ฟัง หมดวิบากกรรม
อ.สมพร หมดอายุขัยแล้ว ไม่ได้ทำฌานต่อ เมื่อทำฌานต่อก็ไปเกิดในพรหมโลกที่สูงขึ้น แต่เมื่อไม่ทำฌานต่อ หมดผลของกรรมนั้นแล้วก็กลับมาเกิดในมนุษย์ใหม่ เพราะว่าพวกพรหมไมมีโทสะ ความสุขของเขาจึงประณีตกว่าพวกกามสุข
คุณอดิศักดิ์ อาจารย์ครับ แล้วอรูปพรหม
อ.สมพร อรูปพรหมก็ไม่มีโทสะ
คุณอดิศักดิ์ ไม่มีโทสะ มีโลภะ โมหะเหมือนกัน
อ.สมพร มีครับ เพราะเมื่อมีโลภะ โมหะก็ต้องมี
ผู้ฟัง ขอเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ก่อน คำว่าเกิดดับหมายถึงอะไร
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมมีเหตุปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับ
ผู้ฟัง ทำไมจึงว่า โลกนี้เกิดดับ
ท่านอาจารย์ รู้สึกคนฟังใหม่ๆ อาจจะลำบาก เพราะคิดว่าโลกนี้กลมใหญ่กว้างมาก แต่ความจริงแล้ว โลกในพระวินัยของพระอริยะ เป็นเพียงหนึ่งขณะจิตซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจิตก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นนามธรรม และรูปธรรม เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามซึ่งเกิดดับ สิ่งนั้นเป็นโลก
ผู้ฟัง ทีนี้คำว่าเกิดดับ ถ้าหากว่าเราไม่เข้าใจปรมัตถธรรม มันก็เหมือนว่าเกิดขึ้นแล้วก็หายตัวไป เหมือนกับว่าเราเปิดไฟ ปิดไฟ เกิดดับ เหมือนไหมคะ โลกนี้เกิดดับ เหมือนเราเปิดไฟปิดไฟ เหมือนไหมคะ อาจารย์
ท่านอาจารย์ ไม่เหมือน
ผู้ฟัง เป็นอย่างไรคะ
ท่านอาจารย์ อย่างแข็งจะเหมือนไฟ ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่เหมือน
ท่านอาจารย์ แข็งมี ทุกคนกำลังปรากฏ ถ้าเป็นปัญญาที่สมบูรณ์จริงๆ สามารถที่จะประจักษ์ว่า แข็ง ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ดับเลยนั้น แท้จริงกำลังเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
ผู้ฟัง อาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายอีกครั้งหนึ่ง เกิดดับ สมมติว่าเราโดยนัยของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งที่ปรากฏทางตา เหตุใดจึงว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเกิดดับ
ท่านอาจารย์ เวลาพูดถึงโลก ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการสัมผัส ไม่มีการคิดนึก จะมีโลกได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพียงแค่เห็น เอาเดี๋ยวนี้ก็ได้ เฉพาะกำลังเห็น ซึ่งทุกคนกำลังเห็น แล้วอีกอย่างก็คือว่า เราได้พูดถึงธรรมมานานแสนนานโดยนัยต่างๆ ทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจธรรม ไม่ใช่ให้จำว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ว่าขณะนี้กำลังเห็น ถ้าเราได้ศึกษามามากพอ เราก็จะต้องสามารถมีความเข้าใจในลักษณะของสภาพที่กำลังเห็นในขณะนี้ ในลักษณะที่เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ขณะที่เรากำลังเห็น มีได้ยินไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มีนะคะ ขณะที่กำลังได้ยิน มีเห็นไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี นี่ก็แสดงให้เห็น ขณะนี้เราจะลืมทุกอย่างที่เราเคยจำไว้ แล้วก็มาพิจารณาให้เข้าใจธรรม การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม หมายความว่า เราเริ่มที่จะเข้าใจตัวธรรมจริงๆ ในขณะนี้ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเราจะยกเรื่องของทางตาก่อน ซึ่งขณะนี้กำลังเห็น ที่จะเข้าใจว่า เป็นธรรม แล้วก็ที่กำลังเกิดดับ ถ้าไม่พูดถึงขณะปัจจุบัน จะเหมือนอยู่ในตำรา หรือว่าอยู่ในหนังสือ ไม่มีทางที่จะเข้าใจกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ได้ นอกจากเวลานี้ เรากำลังจะเข้าใจธรรม ทั้งหมดที่เรียนมาเพื่อเข้าใจธรรมที่กำลังเห็น
เพราะฉะนั้นในขณะนี้ทุกคนพิจารณาตามเพื่อที่จะได้เห็นธรรม หรือว่าเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงว่า ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่มีได้ยิน มีวัดบวรนิเวศไหมคะ ขณะที่กำลังเห็น มีไหมคะ ไม่มี มีตึกสภาการศึกษามหามกุฏไหมคะ ไม่มี มีห้องนี้ไหมคะ ไม่มี เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ ว่า ถ้าปัญญาสามารถที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะจริงๆ ของธรรมที่กำลังปรากฏ โดยรู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ยังไม่มีความคิดนึกเรื่องวัดบวร ยังไม่มีความคิดนึกเรื่องตึกสภาการศึกษามหามกุฏ ยังไม่มีการคิดนึกเรื่องคน เรื่องสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แล้วก็มีสภาพที่กำลังเห็น เป็นสภาพรู้ ที่เรากล่าวถึงเรื่องจิตเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ ไม่พ้นจากขณะนี้เองที่กำลังเห็น
เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม ซึ่งทุกคนก็สนใจที่จะปฏิบัติ ให้ทราบว่าขณะใดยังไม่มีการที่จะเข้าใจสภาพที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง